วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

สามคืนสี่วันกับการเดินทางสำรวจด้วงในป่าชายแดนตะวันตกตอนที่ 3(ตามหาด้วง Odontolabis mouhotii elegans)

   
   หลังจากค่ำคืนแรกของการนอนในป่าลึกผ่านไป ผมนอนหลับได้สบายมากมีเสียงกล่อมของพวกกบเขียดและแมลง นอนหลับไม่ฝันอะไรเลย เผลอตื่นมาตอนกลางคืนครั้งนึงเพราะเผลอเอาเท้าออกมานอกเปลแล้วยุงกัด  ผมตื่นมาประมาณตี4 ครึ่งเพราะปกติเป็นคนนอนตื่นเช้าอยู่แล้ว ลองฉายไฟดูพบน้องโจปี้และน้องคนนำทางนอนหลับสบายอยู่ จึงไม่รบกวน คว้าบู๊ทยางมาใส่เดินเสียวๆไปตักน้ำมาหุงข้าว เราตกลงกันตั้งแต่ตอนจะขึ้นมาแล้วว่าจะให้ผมเป็นคนทำอาหาร เดินฉายไฟไปริมๆน้ำพบทากตัวน้อยๆชูหัวกันให้สลอนตามขอนไม้ จึงรีบๆตักและขึ้นมาเลย เพราะกลัวโดนกัด แผลที่โดนกัดไปเมื่อวานเริ่มคันๆอักเสบรู้สึกว่าผมจะแพ้พิษของสัตว์ประเภทนี้  ผมหาฟืนอยู่พักนึง แล้วจุดไฟต้มน้ำและล้างหน้าด้วยกาแฟใช้แก้วไม้ไผ่รสชาติดีมาก นั่งคิดอะไรเพลินๆซักพักฟ้าก็เริ่มสางแล้ว จึงลงมือหุงข้าวครับ ว่าจะหุงซักสองหม้อสนาม เพราะตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้ายังไม่มีใครมีข้าวตกถึงท้องซักเม็ดส่วนใหญ่เป็นขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมตักข้าวสารใส่ครึ่งหม้อสนามและใส่น้ำให้เต็มหม้อสนามดูแล้วข้าวสารสะอาดดีเลยไม่ต้องซาวข้าวครับกลัวต้องไปตักน้ำเพิ่ม ตอนนี้ผมทำเจ้าทากตื่นตัวแล้วด้วยซิ
  หลังจากหุงข้าวไปซักพักน้องคนนำทางตื่นขึ้นมาพร้อมน้องโจปี้ จะนอนต่อไปได้ยังไงผมเล่นจุดไฟซะควันไฟเต็มแคมป์ น้องคนนำทางบอกว่าเมื่อคืนมีหมูป่ามาเยือนเราที่ฝั่งตรงข้ามน้ำซับ เดี๋ยวสายๆจะพาไปดูรอย ผมกับน้องโจปี้หลับสบายเลยไม่ได้ยินเสียง หลังจากน้องคนนำทางและน้องโจปี้ทานกาแฟกันเสร็จแล้วระหว่างรอข้าวสุกน้องสองคนขอตัวไปสำรวจป่า เห็นบอกว่าบนสันเขาอีกลูกนึงทางนี้เคยมีคนบอกว่ามีไผ่ที่ด้วงชอบกินอยู่  ให้ผมเฝ้าแคมป์ทำกับข้าว  และแล้วกับข้าวมื้อแรกของเราโดยมีผมเป็นพ่อครัวก็คือเมนูตระกูลไข่ผมอุตส่าห์แอบเอาติดเป้หลังมาแบบทนุถนอมแทบตายกว่าจะเอามาถึงที่นี่พบว่าจากไข่สิบกว่าใบแตกร้าวๆไปแค่ใบเดียวเอง คิดในใจว่าเรานี่เป็นหน่วยประคองไข่ที่ใช้ได้เลย ล้มตั้งหลายหนแต่ไข่ไม่แตก เมนูแรกไข่เจียวละกันครับ

ทอดในกระทะก้นสูงไฟแรงๆ
เสร็จแล้ว หนา ฟูนุ่ม
    เสร็จแล้วผมก็ทำต้มยำปลากระป๋องอีกหนึ่งอย่าง สภาพอย่างสวยแต่ไม่ได้ถ่ายภาพไว้ เห็นน้องโจปี้ซดน้ำทีมองหน้าน้องคนนำทางไปที คงอร่อยมาก  หลังจากทำกับข้าวและหุงข้าวอีกหม้อไว้เผื่อกลางวันเสร็จแล้วน้องที่นำทางก็กลับมาพอดี และเล่าให้ฟังว่า พอขึ้นไปสันเขาทางฟากนี้มองไปอีกสันเขาหนึ่งเห็นไม้ไผ่นวลอยู่เกาะหนึ่งประมาณยี่สามสิบกอได้ แต่ทางชันมากจะไปสำรวจไหม ผมตอบตกลงเพราะเคยพบด้วงที่นิยมเลี้ยงกันทั่วๆไปที่มีทางภาคตะวันตก ส่วนใหญ่จะพบเจอในกอไม้นวล เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วจึงทานข้าวจนเสร็จแล้วจึงออกสำรวจ ป่ากะไว้ว่าจะเดินซักครึ่งวันบ่ายๆค่อยมาย้ายแคมป์เบื่อทากเต็มทีแล้ว เมื่อเช้ามืดผมโดนที่หลังไปอีกสองตัวกว่าจะรู้ตัวก็เหลือแต่ร่องรอยเลือดไหลไว้เต็มหลังแล้ว  ตอนเดินขึ้นมาสันเขาฟากนีี้ตรงกันข้ามกับแคมป์เราห่างประมาณ40 เมตรได้ น้องคนนำทางชี้ให้ดูร่องรอยหมูป่ามาขุดดินไว้ ผมมองอยู่พักนึง ท่าทางหมูป่าน่าจะมาลงน้ำแต่เจอแคมป์เราเลยไม่กล้าลงไป ขอโทษนะน้องหมูป่า คืนนี้พี่จะย้ายแคมป์แล้วผมคิดในใจ 
ขุดดินไว้ใหม่ๆเลย
เมื่อเดินมาถึงสันภูเขามองออกไปไกล เห็นมีไม้ไผ่นวลเกาะเล็กๆอยู่เกาะหนึ่ง ตรงยอดเขาฝังตรงข้าม
เราตกลงจะเดินลุยทุ่งหญ้าดอกไม้กวาดลงไป ใบดอกไม้กวาดคมมากผมโดนไปหลายแผลเลย ภูเขานี้ลื่นและชันมากเราอาศัยเดินลัดเลาะไปตามด่านสัตว์ป่าที่พอจะมีที่ให้เดินนิดหน่อย ผมพบรอยเท้าเลียงผา สัตว์ป่าสงวนที่หาดูได้ยากในธรรมชาติด้วยถือว่าโชคดีมากไม่เจอตัวแค่เห็นรอยก็ยังดี  ผมเรียกจุดนี้ว่าเขตห้ามพลาด น้องคนนำทางพลาดสะดุดเถาวัลย์ล้มไปทีนึงกลิ้งไกลไปเกือบสิบเมตร ดีที่จับต้นไม้ไว้ทันไม่งั้นไปไกลกว่านี้ต้นไม้ที่ไปจับดันเป็นต้นที่มีหนามอีก  ผมอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ สงสารก็สงสารแต่ขำมากกว่า 
เดินลงมาซักพักหนึ่งผมเจอต้นไม้ ต้นหนึ่งมีกิ่งไม้หักสุมๆไว้กลางต้นผมจึงเดินเข้าไปดูให้น้องที่นำทางกับน้องโจปี้นำไปก่อน ท่าทางจะไม่ใช่ถูกลมพัดหักแน่ๆ
ผมดูใบแล้ว ต้นนี้น่าจะเป็นต้นลิ้นจี่ป่า หรือต้นหมากแงวเป็นผลไม้ในป่ากินได้ น่าจะออกลูกสุกราวเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ลูกคล้ายๆลิ้นจี่เม็ดเหมือนเงาะรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เดินไปดูที่โคนต้นจึงรู้ว่าทำไมกิ่งบนมันถึงหัก เจ้าหมีควายนี่เองตัวการทำไว้ ลักษณะรอยที่หมีปีนไว้ใหญ่มากผมคิดว่าน่าจะเป็นหมีควาย รอยปีนเก่าแล้วคงมาปีนกินลูกไม้ช่วงที่ลูกมันสุก ป่าทางนี้ช่างอุดมสมบูรณ์จริงๆเลย

จากนั้นผมก็เดินสำรวจไปเรื่อย ปล่อยให้คนนำทางไปก่อน ดูนั่นดูนีไปเรื่อยในที่สุดก็ถึงก้นหุบ เดินทางวันนี้ร่างกายผมชักจะเข้าที่ไม่เหนื่อยเลย อาจเพราะอากาศตอนเช้ายังเย็นสบายอยู่ก็เป็นได้ มองไปยอดเขาที่เราจะไปมีไม้ไผ่นวลขึ้นอยู่ตรงกลางๆเขาไล่ยาวขึ้นไปจนถึงยอด ผมปล่อยให้น้องคนนำทางเดินทิ้งนำหน้าไปก่อนเลยผมเดินไปแบบไม่รีบซักพักก็ถึงครึ่งเขา และได้ยินเสียงน้องคนนำทางเรียกให้ไปดูด้วง ตอนนี้ไม่ค่อยตื่นเต้นแล้วเสียวตกเขามากกว่าภูเขาลูกนี้ชันมาก ต้องค่อยๆเดินไป ในที่สุดเราก็เจอกันจนได้เจ้าด้วงคีมกวางเหลือง Odontolabis mouhotii elegans ด้วงชนิดนี้เราจะพบเจอในธรรมชาติได้ในราวๆต้นเดือนกันยายน-พฤษจิกายน ด้วงตัวนี้ผมชอบมากเลยทั้งในเรื่องเพาะพันธุ์ได้ไม่ยากเกินไป ความดุและอายุยืน เคยนำตัวผู้ตัวนึงแยกเลี้ยงเดี่ยวไว้ไม่ให้ผสมให้อยู่ในอากาศเย็นอยู่จนถึงเดือนเมษายนปีถัดไปเลยด้วงถึงตาย แต่ถ้าในธรรมชาติแล้วด้วงพวกนี้จะออกมาทำหน้าที่สืบเผ่าพันธ์ของมันระยะเวลาสั้นๆแล้วก็ตายไป ด้วงตัวนี้ผมพยายามที่จะเพาะเลี้ยงอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้ตัวเต็มวัย ที่มีคีมยาวเลย ในการเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อต้องการสังเกตุลักษณะพื้นดินที่ด้วงอยู่ด้วย(ด้วงชนิดนี้ในธรรมชาติจะวางไข่ในดินครับ)ว่าจะนำกลับไปปรับอาหารหนอนเลี้ยงตัวอ่อนด้วงคีมชนิดนี้ที่ผมเพาะเลี้ยงไว้ด้วย ตัวแรกที่เราเจอลักษณะคีมกลางครับ สำหรับด้วงสกุลนี้จะมีฟอร์มของคีมที่หลากหลายมากส่วนใหญ่ผมจะแบ่งเป็นสามขนาดคีมเรียก คีมสั้น(คีมเล็ก) คีมกลางและคีมยาว
เราเดินออกหาดูกันอีกระยะหนึ่ง เพื่อมองหาตัวคีมยาวแต่ไม่เจอเลย ส่วนใหญ่จะเจอแต่ตัวคีมกลางและคีมสั้น จากจุดนี้เรามองเห็นไม้ไผ่นวลอีกเกาะหนึ่งอยู่บนยอดสันเขามีไผ่ประมาณสิบกอได้ จึงตัดสินใจจะปีนขึ้นไปดู ท่าทางจะขึ้นไปยากมากต้องเดินลัดเลาะไปตามด่านเลียงผา ผมจึงบอกให้น้องโจปี้กลับไปพักผ่อนที่แคมป์พักก่อนเพราะเมื่อวานหนักมาทังวัน ผมกับน้องที่นำทางมาจะปีนขึ้นไปดูกันสองคน
น้องโจปี้รับปากและออกเดินลงหุบเพื่อกลับแคมป์ ก่อนกลับผมตะโกนไล่หลังน้องโจปี้ว่าระวังหลงเน้อ...น้องคนนำทางบอกว่าไม่หลงหรอกเพราะโจปี้เคยมาเดินป่าทางนี้อยู่บ่อยๆ เราจึงปีนขึ้นไปดูไม้ไผ่นวลที่อยู่บนยอดเขากัน ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นมาถึงเกาะไม้ไผ้นวลที่เรามองเห็น ในที่สุดเราก็เจอด้วงคีมกวางเหลืองคีมยาวกำลังดูดน้ำเลี้ยงหน่ออ่อนของหน่อไม้ไผ่นวลอยู่

เดินดูอยู่ซักพักพบว่าตรงจุดที่สูงๆนี่พบเจอแต่ด้วงฟอร์มคีมยาวๆทั้งนั้นเลย
มองสภาพโดยรวมทั่วไปตรงจุดนี้ ลักษณะเป็นเขาลาดเอียงชันมาก เป็นพื้นดินปนหินนุ่มๆ มีไผ่นวลขึ้นแบบแคระแก็นไม่สมบูรณ์เต็มที่เหมือนตรงกลางภูเขาที่เราผ่านมา อาจจะเป็นเพราะบนเขาลมแรงก็เป็นไปได้

ลองสังเกตุพื้นดิน พบว่ามีมอส ไลเคน และหญ้าเล็กๆขึ้นเต็มไปหมด ท่าทางบนยอดเขานี่ จะชื้นและเย็นอยู่ตลอดเวลา ลองขุดดินดูพบรากไผ่พันกันเต็มใต้ดินเลย น้องที่นำทางมาเคยบอกว่าครั้งนึงเคยเห็นด้วงชนิดนี้พึ่งเกิดมุดออกมาจากดินโคนต้นไผ่นวล นี่อาจจะเป็นความลับหนึ่งของธรรมชาติ ที่ว่าทำไมด้วงคีมสกุลนี้เมื่อเรานำไปเพาะเลี้ยงแล้วไม่เคยได้คีมฟอร์มยาวซักที ผมคิดว่าอุณหภูมิ ความชื้น ความสูงและกอไผ่น่าจะมีส่วนเป็นตัวกำหนดฟอร์มคีมหรือขนาดของด้วงชนิดนี้ 
ผมเดินสำรวจด้วงจนหนำใจ จนเกือบจะเที่ยงจึงชวนน้องที่นำทางกลับแคมป์กัน ขากลับเราเดินลัดเลาะสันเขากลับไปอีกทางนึง เดินมาได้ไม่นานก็ใกล้จะถึงแคมป์เราคุยกันระหว่างเดินมาว่าหลังกินข้าวเสร็จแล้ว เราจะย้ายแคมป์ไปอีกฟากของสันภูเขา ตรงนั้นมีห้วยใหญ่ไหลผ่านและมีปลาเยอะมาก ชักตื่นเต้นแล้วซิผมไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้วจะไปโดดน้ำให้สบายใจซักหน่อย เมื่อเรามาถึงแคมป์พัก งานก็เข้าเราอีกแล้ว....น้องโจปี้ที่เดินกลับมาก่อนหายไปไหนแล้ว เรานั่งรออยู่ที่แคมป์ตั้งนาน ทั้งตะโกนเรียกทั้งกู่เรียกก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ....
ไว้ต่อตอนหน้านะครับผม ^^ เมื่อยมือแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น