วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

สามคืนสี่วันกับการเดินทางสำรวจด้วงในป่าชายแดนตะวันตกตอนที่1

     เมื่อเข้าสู่เดือนสิงหาคม-ตุลาคมของทุกปีจะเป็นเดือนที่เราจะพบเจอด้วงในธรรมชาติมากที่สุด ในป่าตะวันตกจะว่าเป็นฤดูของด้วงก็ได้ ซึ่งในช่วงเดือนนี้ของทุกๆปีด้วยภารกิจหน้าที่การงานผมมักจะพลาดโอกาศเดินทางไปสำรวจด้วงธรรมชาติในป่าทุกปี ในปีนี้ช่วงเดือนนี้ผมมีเวลาว่างอยู่กับบ้านจึงได้มีโอกาศเติมเต็มความอยากที่รอคอยมานานแสนนาน มีเรื่องเล่าประสบการณ์กับการเดินทางครั้งนี้และรูปภาพมาฝากกันนิดหน่อยครับ
    เริ่มด้วยเช้าวันหนึ่งกลางๆเดือนกันยายนผมได้รับโทรศัพท์จากน้องคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นคนนำทางเดินทางสำรวจด้วงร่วมกันในครั้งก่อนๆ ชวนไปสำรวจด้วงในป่าแห่งใหม่ใกล้ๆชายแดน ผมตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดให้มากเรื่องเลย เสร็จแล้วผมก็เตรียมเป้สนามและเสบียงพร้อมออกเดินทางไปบ้านน้องคนนำทางเลย เดินทางจากบ้านผมไปหาน้องคนนำทางประมาณ200กิโเมตรได้ครับ ระหว่างขับรถไปก็คิดไป ว่าการเดินทางครั้งนี้หวังว่าจะได้พบด้วงในธรรมชาติตัวที่นิยมเลี้ยงกันซัก 5 ชนิดเป็นอย่างต่ำ ขับไปคิดไปไม่นานก็ถึง เราตกลงกันว่าจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า วันนี้ให้พักผ่อนนอนให้เต็มที่เพราะป่าที่จะไปไกลมาก เราเปลี่ยนความตั้งใจกันนิดหน่อยจากที่ว่าจะไปสำรวจแบบหนึ่งคืนสองวัน เป็นแบบเดินทางแบบค่ำไหนนอนนั่นจนกว่าเสบียงจะหมดหรือจนกว่าผมจะพอใจ  ผมจึงใช้ให้น้องคนนำทางไปจัดเตรียมเสบียงเพิ่มและตัวผมเองขอนอนพักผ่อนเก็บแรงไว้เดินป่า ตื่นเต้นสุดๆนอนไม่ค่อยหลับเลยอยากให้เช้าไวๆ พอตื่นเช้าขึ้นมาอีกวันหนึ่งน้องคนนำทางก็เตรียมเสบียงอาหารไว้พร้อมแล้ว แต่เกินกว่าที่ผมตั้งใจไว้นิดหน่อย น้องคนนำทางบอกว่าเหลือดีกว่าขาด ผมก็เห็นดีด้วยแต่ของที่จะนำไปนี่ซิหนักกว่าคนละ20กิโกรัม ประกอบด้วย น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้งเสื้อผ้า ถุงนอนเปลผ้าใบและเต็นท์นอน น้องคนนำทางบอกว่าต้องเดินข้ามภูเขาหลายลูกเหมือนกัน ผมชักหวั่นว่าจะไหวไหมนี่ ผมว่างเว้นจากการเดินป่าหนักๆมานานแล้วด้วย จึงตัดของที่จำเป็นน้อยที่สุดออกแล้วน้ำหนักก็ยังมากอยู่ดี ในที่สุดก็จบลงด้วยการไปจ้างลูกหาบแบกของที่พื้นเพเป็นคนกระเหรี่ยงในพื้นที่เดินทางไปด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งคนนำทางไปหามาให้ ชื่อ น้องโจปี้(ชื่ออาจจะแปลกๆหูซักหน่อย มารู้ตอนหลังว่าชื่อภาษากระเหรี่ยงแปลว่าลูกชายคนเล็ก)คนนำทางบอกว่าป่าที่เราจะไปอยู่ติดชายแดนมีคนในประเทศเพื่อนบ้านเดินเข้าออกบ่อยๆเหมือนกัน การที่มีคนพูดถาษาถิ่นไปด้วยจะได้สื่อสารกันรู้เรื่องครับ น้องโจปี้พูดกระเหรี่ยงได้และพม่าได้นิดหน่อยครับ จากนั้นเราบรรจุของเตรียมเดินทาง ของที่จะนำไปน้ำหนักรวมๆประมาณคนละ10กว่ากิโลผมเบาที่สุดท่าทางพอไหว แต่เจ้ากระเป๋าเป้สนามของผมดันเล็กไปอีก จึงตัดใจตัดของใช้บางรายการออกเช่น เต็นท์ เราจะไปผูกเปลแล้วขึงผ้ายางกันฝนนอนแทนและตัดใจตัดของส่วนที่มีน้ำหนักมากที่สุดออกคือน้ำดื่ม น้องที่นำทางบอกว่าที่จะไปมีน้ำมากมาย ถ้าพี่ดื่มได้ก็ไม่ต้องเอาไปให้หนักหรอก เลยตกลงตามนั้นครับ เตรียมของเสร็จกระเป๋าเป้สนามคู่ใจก็ยังเล็กไปอยู่ดี สุดท้ายมาจบที่ เป้เดินทางชาวป่าราคาไม่ถึง10บาทครับใส่ของได้จุใจ ใช้ถุงปุ๋ยใส่ของและใช้ผ้าขาวม้าทำหูสะพายน้องคนนำทางทำให้ ใส่ของเสร็จลองชั่งดูเกือบๆ10 กิโล อืมน้ำหนักกำลังพอดี

   ผมจึงต้องตัดใจทิ้งเป้สนามคู่ใจที่เคยใช้เดินป่ามาหลายหนไว้ที่บ้านน้องคนนำทาง
เมื่อทุกอย่างลงตัวเราจึงออกเดินทาง ประมาณเก้าโมงเช้า ช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ทีแรกนิดนึง เดินทางออกจากท้ายหมู่บ้านลัดเลาะทุ่งนา เข้าสู่ป่าใหญ่ชายแดนตะวันตก สังเกตุสีกางเกงของน้องโจปี้ สีเจ็บมาก
เราอาศัยลัดเลาะไปตามลำห้วย สวนน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ ลักษณะป่าตอนเข้ามาเป็นป่าไผ่โปร่งๆ มีต้นไม้ใหญ่ให้เห็นบางตามาก
                         ตลอดลำห้วยพบร่องรอยการทำสัปทานป่าไม้ในอดีตให้เห็นไปตลอด

เมื่อเดินสวนลำห้วยไปเรื่อยๆเราพบน้ำตกเล็ก อยู่สองที่สวยงามดีแต่ไม่ค่อยได้มีเวลาชื่นชม เพราะน้องคนนำทางจะคอยย้ำเสมอว่า เรายังไปอีกไกลนะพี่
                                                          อันนี้น้ำตกสูงกว่าเดิมหน่อย

                                      
ตลอดลำห้วยสายนี้มีพรรณไม้และสัตว์เลื้อยคลานแปลกตามีให้เห็นตลอดสาย

ว่านค้างคาวดำหรือเนระพูสีไทย (อังกฤษBat flowerชื่อวิทยาศาสตร์Tacca chantrieri

 จิ้งเหลนน้ำTropidophorus robinsoni

เมื่อเราเดินสวนน้ำไปเรื่อยเจอลำห้วยเล็กที่ไหลลงมาจากหุบเขามารวมกับห้วยสายนี้หลายสายเหมือนกัน ห้วยสายหลักที่เราเดินสวนน้ำมาเริ่มแคบลงไปเรื่อยๆจนในที่สุดเราก็พบลำห้วยแยกเป็นสองสายตั้งแต่ตอนที่เดินเข้าป่ามาผมลองสังเกตุหาด้วงตามหน่ออ่อนของต้นไผ่และต้นไม้ที่มีน้ำยางแต่ไม่พบด้วงเลย จากจุดนี้น้องคนนำทางบอกว่าเราต้องเดินขึ้นภูเขาและเดินลัดเลาะไปตามแนวสันเขาจะไม่มีน้ำดื่ม  เราพักเหนื่อยซักพักนึงจึงตักน้ำในลำห้วยใส่ขวดพาสติกคนละขวดเก็บน้ำไว้ดื่มระหว่างทาง เอาละซิมีน้ำหนักเพิ่มมาในเป้สัมภาระอีกเกือบ2กิโกรัม อากาศตอนนี้ก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ภูเขาลูกแรกแหงนหน้ามองยอดแล้วสูงมาก เราต้องขึ้นไปจนถึงยอดแล้วถึงจะลัดเละแนวสันเขาไปได้ครับ เป็นภูเขาดินมีป่าไผ่ขึ้นอยู่หนาแน่นหลายชนิด 

ผมเดินสังเกตุดูด้วงไปเรื่อยๆในช่วงแรกแต่ไม่เจอเลยช่วงหลังๆภูเขาลูกนี้ลื่นและชันมาก ผมจึงก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นอย่างเดียว เราใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จ  เล่นเอาน้องโจปี้ลูกหาบถึงกับพูดไม่ออก ส่วนผมนะเหรอ ทั้งลื่นล้มทั้งร้อนและเหนื่อยกว่าจะถึงยอดเขาแทบจะคลานไปเลยทีเดียว
เมื่อขึ้นถึงยอดเขาแล้วพอมีต้นไม้ใหญ่ๆให้เห็นบ้างและลมก็็พัดแรงมาก จากที่เหงื่อโซมกายเหน็ดเหนื่อยตอนขึ้นมาเจอลมที่พัดแรงๆรู้สึกเย็นสบายหายเหนื่อยจนรู้สึกหนาวเลยทีเดียว

เมื่อนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้ว เราจึงออกเดินทางต่อไปบนแนวสันเขา ตอนนี้เป็นพื้นราบเดินง่ายหน่อยเป็นป่าไผ่สลับทุ่งหญ้ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นประปราย ผมเดินมองหาด้วงตามต้นไม้ไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอ
ต้นไม้ทีเห็นทางซ้ายมือในรูปมีน้ำยางออกมา น้องคนนำทางบอกเคยเห็นด้วงคีมตัวสีดำๆกินน้ำยางผมสังเกตุอยู่นานมากแต่ไม่เจออะไร
เราเดินลัดเลาะแนวสันเขาไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็สุดแนวสันเขาลูกนี้ ต้องเดินลัดลงหุบเขาแล้วขึ้นภูเขาลูกใหม่ แหงนหน้ามองยอดภูเขาลูกนี้แล้วลบแทบจับสูงกว่าลูกที่ผ่านมาอีก ตอนนี้ผมเดินรั้งท้ายสุดโดนทิ้งห่างประมาณ20-40เมตร ภูเขาลูกนี้เป็นป่าไผ่ตอนขึ้นมาทีแรก เมื่อสูงขึ้นมาอีกหน่อยจะเป็นทุ่งหญ้าดอกไม้กวาดสลับกับต้นไม้ใหญ่ๆเมื่อเดินขึ้นไปได้ซักพักมองไปข้างหน้าไม่เห็นใคร ผมรีบเดินต่อไปให้เร็วขึ้นจนแทบหายใจไม่ทัน เพราะกลัวจะหลงกันแต่ทุกครั้งก็เจอน้องที่นำทางมานั่งรอพูดคุยอยู่กับน้องโจปี้ลูกหาบอย่างสนุกสนานทุกครั้ง จึงตัดสินใจเดินสำรวจด้วงไปเรื่อยๆเพื่อให้ลืมความเหนื่อยจนในที่สุดก็ถึงยอดภูเขาลูกนี้ บรรยากาศโดยรวมเหมือนภูเขาลูกที่ผ่านมา เรานั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วจึงเดินทางกันต่อไปตามแนวสันเขา ลักษณะเป็นป่าไผ่พื้นราบ เดินได้ไม่เหนื่อยมาก ตอนนี้ผมเดินรั้งท้ายไปแบบสบายๆสำรวจตามยอดหน่อไม้ไผ่ไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่พบด้วงซักตัว 

 ในทีสุดผมก็โดนทิ้งห่างออกไปแบบไม่เห็นหลังคนนำทางและลูกหาบ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ยังไงก็ต้องเดินไปตามแนวสันภูเขาไปอยู่แล้วไม่น่าจะหลง และแล้วก็ได้ยินเสียงร้องเรียกดังมาจากข้างหน้า
พี่พี่มาดูนี่เร็ว!เจอด้วงแล้ว ผมจึงรีบวิ่งด้วยความดีใจไปข้างหน้าตามเสียงร้องเรียกนั้นให้เร็วที่สุดสะดุดเถาวัลย์ล้มไปทีนึงเหมือนกัน ในที่สุดก็พบด้วงชนิดแรกเข้าจนได้
        เจ้า Eupatorus birmanicus   ด้วงกว่างซางพม่าหรือกว่างซางหูกระต่าย
ลักษณะที่เจอด้วงชนิดนี้จะเจอในหน่ออ่อนของต้นไผ้ชนิดหนึ่ง  ด้วงจะเจาะและฝังตัวเข้าไปในหน่อไม้นั่นและดูดกินน้ำยางของหน่อไม้นั้น ปกติเจ้าด้วงกว่างซางหูกระต่ายจะพบเจอได้ประมาณต้นเดือนสิงหาคม-เดือนกันยายน ซึ่งด้วงชนิดนี้ในธรรมชาติแล้วตัวเต็มวัยจะมีชีวิตที่สั้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับด้วงชนิดอื่นๆ ตัวผู้พอเกิดมาเป็นตัวเต็มวัยพักตัวอยู่ใต้ดินพออากาศและระยะเวลาเหมาะสมด้วงจะมุดขึี้นจากดินขึ้นมากินอาหาร ต่อสู้แย่งกันผสมพันธ์และก็ตาย ส่วนตัวเมียพอถูกผสมพันธุ์เสร็จก็จะกินอาหาร วางไข่และก็เสร็จถือว่าทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ได้สมบูรณ์แล้วก็ตาย เราจึงพบตัวเต็มวัยของด้วงชนิดนี้ในธรรมชาติในระยะเวลาที่สั้นมาก แม้ผมจะเคยผ่านพบด้วงตัวเต็มวัยชนิดนี้ในธรรมชาติมาบ้างแล้ว ในการเดินป่าก่อนหน้านี้ แต่ก็อดตื้นเต้นไม่ได้ทุกครั้งที่พบเจอ  เรามาเจอด้วงชนิดนี้ตอนปลายๆฤดูของด้วงแล้วสังเกตุจะเจอแต่ตัวผู้และบางตัวมี่ร่องรอยของการต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันผสมพันธุ์ สังเกตุด้วงตัวผู้ทีพบเจออีกหลายตัวในป่าแห่งนี้ ปีกบุบ เขาหักและขาขาด หลังจากถ่ายภาพและพักจนหายเหนื่อยแล้วเราจึงออกเดินทางกันต่อครับ ตลอดแนวสันภูเขาลูกนี้พบเจอด้วงกว่างซางหูกระต่ายไปตลอดเส้นทาง ส่วนใหญ่แล้วจะเจอแต่ตัวผู้เขาสั้นบ้างยาวบ้างสลับกันไป
ตัวนี้ท่าทางจะผ่านสมรภูมิต่อสู้มาเยอะครับเขาหน้าหักครับ
บางตัวที่พบเจอกินน้ำยางของต้นไม้ด้วย

เมื่อเดินดูด้วงจนสุดแนวสันเขาแล้วน้องคนนำทางชี้จุดหมายที่เราตั้งใจจะไปให้ดู เจ้า

ภูเขาสีดำๆที่มองเห็นสุดสายตานั่นละครับ


และพาเดินลัดเลาะลงหุบเขาอีกครั้งเพื่อที่จะขึ้นภูเขาลูกใหม่ และบอกว่าภูเขาลูกนี้สูง

ที่สุดแล้ว ถ้าขึ้นไปถึงยอดเขาก็เป็นทางเดินไปแบบสบายๆแล้ว หลังจากเดินขึ้นภูเขา

ลูกนี้มาได้ระยะหนึ่ง ยอมรับว่าเหนื่อยมากครับอากาศร้อนสุดๆ เดินขึ้นไปแหงนหน้ามอง

ยอดเขาที่ไรเหมือนมันจะไกลแบบไม่มีที่สิ้นสุด จนในที่สุดก็เลิกมองยอดภูเขาเปลี่ยน

มาเป็นมองหาด้วงแทน แต่ภูเขาลูกนี้มีต้นไผ่เป็นคนละชนิดกับภูเขาลูกที่แล้ว

 จึงไม่เจอด้วงเลย เดินมาได้ซักพักตอนนี้ยอดภูเขาไม่ได้เป็นอุปสรรคแล้วแต่

รองเท้าบู๊ทยางที่ผมใส่มาดูท่าทางจะมีปัญหากับเท้าผมจึงถอดรองเท้าบู๊ทออก

และเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแทน ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงร้องเรียกมาจากข้างหน้า

อีกครั้ง จึงรีบวิ่งตามไปดู พบน้องคนนำทาง กำลังมองดูอะไรในต้นหวายอยู่.......

ไว้ต่อตอนหน้านะครับ ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น