วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

สามคืนสี่วันกับการเดินทางสำรวจด้วงในป่าชายแดนตะวันตกตอนที่ 2


มาตามคำเรียกร้องครับ กลัวเก็บความคิดไว้นานๆจะลืมอารมณ์ตอนที่ไปเหมือนกัน จากตอนที่แล้ว น้องคนนำทางร้องเรียกให้ผมไปดูที่ต้นหวาย ผมรีบวิ่งแบบลืมความเหน็ดเหนื่อย กว่าจะถึงเล่นเอาหอบแบบหายใจไม่ออกเลยที่เดียวครับ พอไปถึงน้องคนนำทางมองหน้าน้องโจปี้ลูกหาบแล้วยิ้มกันอย่างขำๆ คงเวทนาสภาพผมตอนนี้มาก เหงื่อโซมกาย เดินขึ้นเขาจะไม่ไหวแล้วแต่พอบอกว่าจะเจอด้วงแรงฮึดกลับมารีบวิ่งขึ้นเขามาดู แต่น่าเสียดาย บนต้นหวายนั้นไม่ได้มีตัวด้วงอะไรอยู่เลย แต่มีร่องรอยการเจาะดูดน้ำเลี้ยงของก้านช่ออ่อนของลูกหวาย น้องคนนำทางบอกว่าน่าจะเป็นร่องรอยของด้วงหรือแมลงทำไว้ ผมพอจะรู้มาบ้างจากการบอกเล่าของคนหาด้วงขายว่าเจ้าด้วงตัวที่หายากยิ่งที่สุดในป่าตะวันตกคือเจ้า
Allotopus moellenkampi babai หรือด้วงคีมทองกาญจน์
(ตัวในภาพนี้ตัวเมียนะครับ ผมเคยได้เมื่อปีก่อนๆ ตัวผู้คีมจะสวยกว่าตัวเมียมาก)

 เขาเล่าให้ฟังว่าด้วงชนิดนี้จะกินน้ำเลี้ยงจากต้นหวาย ผมนั่งพักให้หายเหนื่อยใต้ต้นหวายอยู่พักนึง ก็มีแรงกลับมาอีกครั้ง ตอนเดินขึ้นเขาคราวนี้เป้าหมายของผมเปลี่ยนไปจากที่จ้องไปที่ตามยอดหน่อไม้และต้นไม้ที่มีน้ำยางเพื่อค้นหาด้วงเปลี่ยนเป็นมองตามต้นหวายแทนเพื่อค้นหาด้วงคีมในตำนานตัวที่หายากยิ่งนั้น เดินค้นหาและขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้นทุกครั้งที่เจอต้นหวายจนลืมความเหนื่อยไปได้หมดสิ้น ในที่สุดก็ถึงยอดภูเขาเสียที เมื่อเดินมาถึงยอดภูเขาลูกนี้ก็เจอกับน้องที่นำทางมากับน้องโจปี้ลูกหาบนั่งรอผมอยู่ท่าทางจะนานแล้วด้วย บนยอดภูเขามีสายลมเย็นๆพัดมาแรงมาก คราวนี้เรานั่งพักกันนานหน่อยและคุยกันว่าท่าทางวันนี้เราจะไปไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้แน่ ถ้าผมมัวแต่ถ่ายภาพและสำรวจด้วงอยู่ เราเลยตกลงกันว่าจะให้น้องคนนำทางเดินล่วงหน้าไปตามแนวสันเขาก่อน ผมและน้องโจปี้จะเดินตามไปเรื่อยๆและนัดจุดหมายที่เราจะไปเจอกันตรงสุดแนวสันเขา เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ออกเดินทางกันต่อน้องคนนำทางเดินไวมากพอไม่ต้องรอผมแล้วแว๊บเดียวก็เดินเลยไปไกลจนมองไม่เห็นหลัง ตอนนี้ผมชักเริ่มหิวๆเลยรื้อเอาขนมในเป้หลังมาแบ่งกันกินกับน้องโจปี้ลูกหาบพร้อมกับเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ตอนนี้ต้องพักเรื่องสำรวจด้วงไว้ชั่วคราว บนสันเขาเดินง่าย เป็นป่าไผ่และทุ่งหญ้ามีไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาตา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นต้นไม้ยางบางต้นมีร่องรอยของพรานล่าสัตว์เจาะเอาน้ำมันยางไม้เก่าๆทางที่เราจะไปค่อนข้างราบมีเนินเตี้ยๆเป็นระยะ  ผมเดินตามน้องโจปี้แล้วสำรวจป่าไปเป็นระยะๆ ดูแล้วท่าทางป่าทางนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์มาก น้องโจปี้จะชี้ให้ดูรอยของสัตว์ป่าเป็นระยะ ที่เจอจะมีร่องรอยของหมูป่าและเก้ง มากที่สุด น้องโจปี้คุยให้ฟังว่าตรงที่เราจะไปกันเป็นป่าเขาเขตแดนเมื่อก่อนเคยมี กองกำลังของทหารป่า เป็นทหารกระเหรี่ยงคริสต์ที่ต่อสู้กับทหารพม่า(ผมคิดว่าน่าจะเป็นกองกำลังกระเหรี่ยงKNU) เคยมาพักอยู่ในเขตนี้บ้าง เอาแล้วซิผมชักเริ่มจะหวั่นๆนิดๆแล้ว น้องโจปี้บอกว่าพี่ไม่ต้องกลัวหรอกเขาย้ายกันไปนานแล้ว ถึงเจอเราเขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะพวกนี้เขาถือว่าคนไทยเป็นญาติพี่น้องกันอยู่แล้ว ทหารพวกนี้ก็มีญาติพี่น้องที่ละทิ้งอุดมการณ์เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย และเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอ ได้ยินแบบนี้ค่อยใจชื้นขึ้นนิดหน่อยแต่ก็อดหวั่นใจลึกๆไม่ได้เดินคิดเพลินๆมาเรื่อยก็ยังไม่มีท่าทีจะสุดแนวสันเขาซักที คำว่าเมื่อไรจะถึงที่หมายนี่ผมเลิกถามไปเลยเพราะน้องโจปี้บอกเดี๋ยวก็ถึงแล้วพี่มาสามสี่รอบแล้ว ไอ้เดี๋ยวก็ถึงเนี่ยะจริงๆมันโครตไกลเลย เดินต่อมาอีกซักพักจากแดดแรงๆเปลี่ยนเป็นครึ้มและลมก็พัดแรงขึ้นดูท่าทางวันนี้เราต้องเปียกฝนกันแน่ ผมมองดูเมฆดำตั้งเค้าลอยทมึนบนยอดเขาลูกที่อยู่ห่างออกไปและลมแรงก็พัดมาทางนี้ด้วย ในที่สุดเราก็โดนพายุฝนจนได้ ฝนตกลงมาแรงมากจนคุยกันไม่ได้ยินต้องตะโกนและลมก็พัดมาแรงอาจเป็นเพราะเราอยู่บนสันเขาก็เป็นไปได้ ผมจึงตัดสินใจให้หยุดการเดินทางไว้ก่อน รอให้ฝนหยุดตกแล้วค่อยไปต่อแค่ฝนตกลงมาอย่างเดียวนี่ไม่กลัวหรอกกลัวแต่ลมที่พัดมาแรงๆจะพัดเอาต้นไม้ใหญ่โค่นลงทับเราสภาพของผมกับน้องโจปี้ตอนนี้ยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำอีก

   เรานั่งพักหลบฝนกันอยู่นานมาก ฝนก็ไม่มีท่าทีจะหยุดแต่ก็ลมพัดเบาลงบ้าง จึงตัดสินใจเดินฝ่าสายฝนไปเพราะกลัวจะหลงกันกับน้องทีนำทางมา กลัวจะมืดก่อนถึงที่หมายด้วย เป็นการเดินป่าระหว่างฝนที่ทุลักทุเลที่สุดประกอบกับผมใส่รองเท้าแตะด้วย เดินไปได้สามก้าวก็หกล้มทีนึง ทางลื่นมากครับ ปกติก็แย่อยู่แล้วฝนยังตกมาอีก ตอนนี้รู้สึกหนาวมาก แต่ก็กัดฟันเดินไปได้เรื่อยๆ ตอนเดินข้ามเนินเตี้ยๆเนินหนึ่งผมพลาดหกล้มกลิ้งตกลงมาหน้าจิ้มโคลน น้องโจปี้ที่เงียบๆมาตลอดการเดินทางถึงขนาดกลั้นหัวเราะไม่อยู่ฮาก๊ากออกมาทีเดียว ผมทั้งเจ็บทั้งขำ ลุกขึ้นปัดโคลนออกยิ่งปัดยิ่งเปื้อนเพราะมือเปื้อนโคลนอยู่ จึงตัดสินใจเดินไปอย่างนี้ละ เราเดินทางไปต่อ เวลาผ่านไปเริ่มจะเย็นแล้วด้วยฝนก็หยุดตกแล้วแต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะถึงที่นัดคนนำทางเอาไว้เลย ผมชักหวั่นในใจลึกๆเดินไปเงียบๆพยายามไปให้ไวที่สุด จนได้ยินเสียงร้องเรียกมาจากข้างหน้าจึงรีบเดินไป พบน้องคนนำทางเดินย้อนกลับมาดูเราเพราะเห็นหายไปนาน เราจึงนั่งพักกันจนหายเหนื่อย น้องคนนำทางบอกว่าวันนี้เราคงไปถึงที่หมายที่ตั้งใจเอาไว้มืดแน่ๆเพราะอีกไกลประกอบกับผมเดินไวๆไม่ได้เพราะใส่รองเท้าแตะ ผมจะรื้อเอาบู๊ทยางมาใส่ก็ดูแล้วจะยิ่งแย่กว่าเพราะเจ้าบู๊ทยางเล่นส้นเท้าผมไว้ซะเป็นแผลไปแล้ว เลยตกลงกันว่าจะหาแหล่งน้ำใกล้ตรงนี้แล้วพักกันซักคืนพรุ่งนี้ค่อยไปต่อ ซึ่งทุกคนตกลงกันเช่นนั้นเพราะตั้งแต่เช้ามาพึ่งทานข้าวเช้ากันไปแค่มื้อเดียวลำพังขนมที่เตรียมมาก็ไม่ค่อยอยู่ท้องซักเท่าไร เมื่อได้ข้อสรุปน้องคนนำทางจึงพาเดินลัดเลาะลงจากสันเขาลงไปในหุบเขา บอกว่าที่ก้นหุบมีน้ำซับไหลซึมอยู่เราขุดบ่อหน่อยน้ำก็ออกอยู่ถ้าพี่กินได้ก็พักได้ ผมตอบตกลงพรางก้มดูน้ำที่ผมเตรียมมาเหลือติดก้นขวดนิดเดียว เดินมาได้ซักพักก็ถึงแหล่งน้ำซับ ผมเดินสำรวจรอบๆแหล่งน้ำ ลักษณะเป็นป่าชื้นๆตรงก้นหุบเขามีพืชตระกูลเฟิร์นและพืชจำพวกขิงข่าขึ้นอยู่รอบๆแหล่งน้ำ
จากนั้นผมนั่งพักปล่อยให้น้องที่นำทางกับน้องโจปี้ทำแคมป์พักซึ่งต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้วทำกันได้ไม่นานก็เสร็จ  น้องคนนำทางนำไม้ไผ่มาปักดินและทำไม้ค้ำไว้ข้างล่างพอผูกเปลนอนได้ซักหนึ่งคืนและขึงฝ้ายางกันฝนไว้ข้างบน ระหว่างทำแคมป์เสียงน้องโจปี้โวยวายขึ้นโหวกเหวกพร้อมเปิดเสื้อให้ผมดู เอามันออกไปให้ผมทีพี่ ผมขยะขแยงมัน  ผมโดนหัวเราะมาทั้งวัน มาตอนนี้เจ้าโจปี้เอ๋ยตกม้าตายดันกลัวตัวทากดูดเลือด ผมยิ้มขำๆคว้ากล้องมาถ่ายภาพเก็บไว้แล้วดึงตัวทากออกให้และเอากระดาษมวนยาเส้นของน้องโจปี้แปะไว้ที่แผลกันเลือดไหล
จากนั้นเราถึงได้รู้ว่าเรามาตั้งแคมป์กันกลางดงทากเข้าให้แล้ว ต่างคนต่างสำรวจตัวเองโดนกันไปคนละสองสามตัว ตั้งแต่เมือไรก็ไม่รู้ผมลองสำรวจตัวเองรู้สึกคันๆที่ขา พอถอดกางเกงขายาวออกพบว่าโดนเยอะกว่าใครเลย อาจเพราะใส่รองเท้าแตะด้วย คิดในใจว่าเลือกที่พักกันได้ถูกที่จริงๆจะย้ายก็ไม่ทันแล้วเริ่มมืดแล้วด้วย เอ้าดีเหมือนกันได้บริจาคเลือดให้สัตว์น้อยร่วมโลกผู้หิวโหยด้วย
หลังจากทำที่พักเสร็จเราตกลงมื้อเย็นนี้จะกินกันง่ายๆไปก่อน จึงใช้ให้น้องโจปี้ไปตักน้ำมาต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินกัน เจ้าโจปี้กลัวทากจึงเดินไปตักน้ำแบบไม่เต็มใจนัก ซักพักก็ได้ยินเสียงโจปี้ร้องลั่นอีกครั้งผมกับน้องที่นำทางเดินออกไปดูพบเจ้าโจปี้โดนตัวประหลาดเกาะที่บู๊ทยางอยู่ ผมใช้ไม้เขี่ยออกให้น้องโจปี้ และนำมันมาสังเกตุดูตัวมัน มีลักษณะเหมือนทากดูดเลือดมากแต่ขนาดและสีไม่ใช่ลองใช้ไม้เขี่ยให้หงายท้องพบปากดูดของเจ้าตัวประหลาดนี่เกือบเท่าหลอดกาแฟ ถ้าถูกดูดทีเลือดคงแทบหมดตัว
ภายหลังผมนำรูปมาสอบถามผู้เชี่ยวชาญในกลุ่ม siamensis.org พบว่าตัวนี้น่าจะเป็นกลุ่มปลิงกินไส้เดือน genus Mimobdella แต่ตอนที่ผมนำมันมาสังเกตุ เจ้าตัวนี้มันน่าจะกินเลือดด้วยครับ พอปล่อยให้มันเคลื่อนไหวมันพยายามกระดื๊บเข้ามาเกาะบู๊ทยาง แต่ไม่กล้าให้มันลองกัดดู แค่เห็นก็สยองแล้วจึงใช้ไม้เขี่ยแล้วเอามันไปทิ้งไกลๆจากที่พักภาวนาอย่าให้มันกลับมาเลย

หลังจาก ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเรียบร้อยแล้วแล้วเรานั่งกินกันอย่างเร่งรีบเพราะกลัวทากจะแอบมากัดอีกกินเสร็จแล้วนั่งคุยกัน ว่าพรุ่งนี้เราจะย้ายแคมป์กันแต่เช้า แต่ผมแย้งว่าเราควรออกสำรวจด้วงก่อนแล้วค่อยย้ายเพราะด้วงเราจะพบเจอตอนเช้ามากกว่าๆตอนสายๆแดดร้อนซึ่งทุกคนก็ตกลง ก่อนนอนวันนี้ไม่มีใครยอมลงไปอาบน้ำเลยเพราะกลัวเจ้าตัวปลิงประหลาดนั่นผมพอเช็ดตัวให้แห้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็นอนเลย เราตกลงกันจะให้ผมนอนตรงกลางและสุมไฟไว้ในแคมป์พักหนึ่งกอง พอผมเอนตัวลงเปลได้ไม่นานผมก็นอนหลับไปเลยโดยมีเสียงร้องของแมลงและกบเขียดกล่อมก่อนนอน ก่อนหลับ มีเสียง
บ่นงึมงัมๆมาจากเปลของเจ้าโจปี้ว่าปวดฉี่จะลงไปก็กลัวทากกัด 

ไว้ต่อตอนหน้านะครับ ^^

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 สิงหาคม 2564 เวลา 20:34

    มันไม่ใช่ด้วงตะวันตกแต่มันอยู่ในไทยนี่แหละ

    ตอบลบ
  2. มีข้อมูลด้วงฝั่ง อำเภอบ่อพลอยหรืออำเภอห้วยกระเจามั้ยครับ ผมอยู่แถวนั้น

    ตอบลบ