วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

สามคืนสี่วันกับการเดินทางสำรวจด้วงในป่าชายแดนตะวันตกตอนที่ 3(ตามหาด้วง Odontolabis mouhotii elegans)

   
   หลังจากค่ำคืนแรกของการนอนในป่าลึกผ่านไป ผมนอนหลับได้สบายมากมีเสียงกล่อมของพวกกบเขียดและแมลง นอนหลับไม่ฝันอะไรเลย เผลอตื่นมาตอนกลางคืนครั้งนึงเพราะเผลอเอาเท้าออกมานอกเปลแล้วยุงกัด  ผมตื่นมาประมาณตี4 ครึ่งเพราะปกติเป็นคนนอนตื่นเช้าอยู่แล้ว ลองฉายไฟดูพบน้องโจปี้และน้องคนนำทางนอนหลับสบายอยู่ จึงไม่รบกวน คว้าบู๊ทยางมาใส่เดินเสียวๆไปตักน้ำมาหุงข้าว เราตกลงกันตั้งแต่ตอนจะขึ้นมาแล้วว่าจะให้ผมเป็นคนทำอาหาร เดินฉายไฟไปริมๆน้ำพบทากตัวน้อยๆชูหัวกันให้สลอนตามขอนไม้ จึงรีบๆตักและขึ้นมาเลย เพราะกลัวโดนกัด แผลที่โดนกัดไปเมื่อวานเริ่มคันๆอักเสบรู้สึกว่าผมจะแพ้พิษของสัตว์ประเภทนี้  ผมหาฟืนอยู่พักนึง แล้วจุดไฟต้มน้ำและล้างหน้าด้วยกาแฟใช้แก้วไม้ไผ่รสชาติดีมาก นั่งคิดอะไรเพลินๆซักพักฟ้าก็เริ่มสางแล้ว จึงลงมือหุงข้าวครับ ว่าจะหุงซักสองหม้อสนาม เพราะตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้ายังไม่มีใครมีข้าวตกถึงท้องซักเม็ดส่วนใหญ่เป็นขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมตักข้าวสารใส่ครึ่งหม้อสนามและใส่น้ำให้เต็มหม้อสนามดูแล้วข้าวสารสะอาดดีเลยไม่ต้องซาวข้าวครับกลัวต้องไปตักน้ำเพิ่ม ตอนนี้ผมทำเจ้าทากตื่นตัวแล้วด้วยซิ
  หลังจากหุงข้าวไปซักพักน้องคนนำทางตื่นขึ้นมาพร้อมน้องโจปี้ จะนอนต่อไปได้ยังไงผมเล่นจุดไฟซะควันไฟเต็มแคมป์ น้องคนนำทางบอกว่าเมื่อคืนมีหมูป่ามาเยือนเราที่ฝั่งตรงข้ามน้ำซับ เดี๋ยวสายๆจะพาไปดูรอย ผมกับน้องโจปี้หลับสบายเลยไม่ได้ยินเสียง หลังจากน้องคนนำทางและน้องโจปี้ทานกาแฟกันเสร็จแล้วระหว่างรอข้าวสุกน้องสองคนขอตัวไปสำรวจป่า เห็นบอกว่าบนสันเขาอีกลูกนึงทางนี้เคยมีคนบอกว่ามีไผ่ที่ด้วงชอบกินอยู่  ให้ผมเฝ้าแคมป์ทำกับข้าว  และแล้วกับข้าวมื้อแรกของเราโดยมีผมเป็นพ่อครัวก็คือเมนูตระกูลไข่ผมอุตส่าห์แอบเอาติดเป้หลังมาแบบทนุถนอมแทบตายกว่าจะเอามาถึงที่นี่พบว่าจากไข่สิบกว่าใบแตกร้าวๆไปแค่ใบเดียวเอง คิดในใจว่าเรานี่เป็นหน่วยประคองไข่ที่ใช้ได้เลย ล้มตั้งหลายหนแต่ไข่ไม่แตก เมนูแรกไข่เจียวละกันครับ

ทอดในกระทะก้นสูงไฟแรงๆ
เสร็จแล้ว หนา ฟูนุ่ม
    เสร็จแล้วผมก็ทำต้มยำปลากระป๋องอีกหนึ่งอย่าง สภาพอย่างสวยแต่ไม่ได้ถ่ายภาพไว้ เห็นน้องโจปี้ซดน้ำทีมองหน้าน้องคนนำทางไปที คงอร่อยมาก  หลังจากทำกับข้าวและหุงข้าวอีกหม้อไว้เผื่อกลางวันเสร็จแล้วน้องที่นำทางก็กลับมาพอดี และเล่าให้ฟังว่า พอขึ้นไปสันเขาทางฟากนี้มองไปอีกสันเขาหนึ่งเห็นไม้ไผ่นวลอยู่เกาะหนึ่งประมาณยี่สามสิบกอได้ แต่ทางชันมากจะไปสำรวจไหม ผมตอบตกลงเพราะเคยพบด้วงที่นิยมเลี้ยงกันทั่วๆไปที่มีทางภาคตะวันตก ส่วนใหญ่จะพบเจอในกอไม้นวล เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วจึงทานข้าวจนเสร็จแล้วจึงออกสำรวจ ป่ากะไว้ว่าจะเดินซักครึ่งวันบ่ายๆค่อยมาย้ายแคมป์เบื่อทากเต็มทีแล้ว เมื่อเช้ามืดผมโดนที่หลังไปอีกสองตัวกว่าจะรู้ตัวก็เหลือแต่ร่องรอยเลือดไหลไว้เต็มหลังแล้ว  ตอนเดินขึ้นมาสันเขาฟากนีี้ตรงกันข้ามกับแคมป์เราห่างประมาณ40 เมตรได้ น้องคนนำทางชี้ให้ดูร่องรอยหมูป่ามาขุดดินไว้ ผมมองอยู่พักนึง ท่าทางหมูป่าน่าจะมาลงน้ำแต่เจอแคมป์เราเลยไม่กล้าลงไป ขอโทษนะน้องหมูป่า คืนนี้พี่จะย้ายแคมป์แล้วผมคิดในใจ 
ขุดดินไว้ใหม่ๆเลย
เมื่อเดินมาถึงสันภูเขามองออกไปไกล เห็นมีไม้ไผ่นวลเกาะเล็กๆอยู่เกาะหนึ่ง ตรงยอดเขาฝังตรงข้าม
เราตกลงจะเดินลุยทุ่งหญ้าดอกไม้กวาดลงไป ใบดอกไม้กวาดคมมากผมโดนไปหลายแผลเลย ภูเขานี้ลื่นและชันมากเราอาศัยเดินลัดเลาะไปตามด่านสัตว์ป่าที่พอจะมีที่ให้เดินนิดหน่อย ผมพบรอยเท้าเลียงผา สัตว์ป่าสงวนที่หาดูได้ยากในธรรมชาติด้วยถือว่าโชคดีมากไม่เจอตัวแค่เห็นรอยก็ยังดี  ผมเรียกจุดนี้ว่าเขตห้ามพลาด น้องคนนำทางพลาดสะดุดเถาวัลย์ล้มไปทีนึงกลิ้งไกลไปเกือบสิบเมตร ดีที่จับต้นไม้ไว้ทันไม่งั้นไปไกลกว่านี้ต้นไม้ที่ไปจับดันเป็นต้นที่มีหนามอีก  ผมอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ สงสารก็สงสารแต่ขำมากกว่า 
เดินลงมาซักพักหนึ่งผมเจอต้นไม้ ต้นหนึ่งมีกิ่งไม้หักสุมๆไว้กลางต้นผมจึงเดินเข้าไปดูให้น้องที่นำทางกับน้องโจปี้นำไปก่อน ท่าทางจะไม่ใช่ถูกลมพัดหักแน่ๆ
ผมดูใบแล้ว ต้นนี้น่าจะเป็นต้นลิ้นจี่ป่า หรือต้นหมากแงวเป็นผลไม้ในป่ากินได้ น่าจะออกลูกสุกราวเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ลูกคล้ายๆลิ้นจี่เม็ดเหมือนเงาะรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เดินไปดูที่โคนต้นจึงรู้ว่าทำไมกิ่งบนมันถึงหัก เจ้าหมีควายนี่เองตัวการทำไว้ ลักษณะรอยที่หมีปีนไว้ใหญ่มากผมคิดว่าน่าจะเป็นหมีควาย รอยปีนเก่าแล้วคงมาปีนกินลูกไม้ช่วงที่ลูกมันสุก ป่าทางนี้ช่างอุดมสมบูรณ์จริงๆเลย

จากนั้นผมก็เดินสำรวจไปเรื่อย ปล่อยให้คนนำทางไปก่อน ดูนั่นดูนีไปเรื่อยในที่สุดก็ถึงก้นหุบ เดินทางวันนี้ร่างกายผมชักจะเข้าที่ไม่เหนื่อยเลย อาจเพราะอากาศตอนเช้ายังเย็นสบายอยู่ก็เป็นได้ มองไปยอดเขาที่เราจะไปมีไม้ไผ่นวลขึ้นอยู่ตรงกลางๆเขาไล่ยาวขึ้นไปจนถึงยอด ผมปล่อยให้น้องคนนำทางเดินทิ้งนำหน้าไปก่อนเลยผมเดินไปแบบไม่รีบซักพักก็ถึงครึ่งเขา และได้ยินเสียงน้องคนนำทางเรียกให้ไปดูด้วง ตอนนี้ไม่ค่อยตื่นเต้นแล้วเสียวตกเขามากกว่าภูเขาลูกนี้ชันมาก ต้องค่อยๆเดินไป ในที่สุดเราก็เจอกันจนได้เจ้าด้วงคีมกวางเหลือง Odontolabis mouhotii elegans ด้วงชนิดนี้เราจะพบเจอในธรรมชาติได้ในราวๆต้นเดือนกันยายน-พฤษจิกายน ด้วงตัวนี้ผมชอบมากเลยทั้งในเรื่องเพาะพันธุ์ได้ไม่ยากเกินไป ความดุและอายุยืน เคยนำตัวผู้ตัวนึงแยกเลี้ยงเดี่ยวไว้ไม่ให้ผสมให้อยู่ในอากาศเย็นอยู่จนถึงเดือนเมษายนปีถัดไปเลยด้วงถึงตาย แต่ถ้าในธรรมชาติแล้วด้วงพวกนี้จะออกมาทำหน้าที่สืบเผ่าพันธ์ของมันระยะเวลาสั้นๆแล้วก็ตายไป ด้วงตัวนี้ผมพยายามที่จะเพาะเลี้ยงอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยได้ตัวเต็มวัย ที่มีคีมยาวเลย ในการเดินทางมาครั้งนี้ก็เพื่อต้องการสังเกตุลักษณะพื้นดินที่ด้วงอยู่ด้วย(ด้วงชนิดนี้ในธรรมชาติจะวางไข่ในดินครับ)ว่าจะนำกลับไปปรับอาหารหนอนเลี้ยงตัวอ่อนด้วงคีมชนิดนี้ที่ผมเพาะเลี้ยงไว้ด้วย ตัวแรกที่เราเจอลักษณะคีมกลางครับ สำหรับด้วงสกุลนี้จะมีฟอร์มของคีมที่หลากหลายมากส่วนใหญ่ผมจะแบ่งเป็นสามขนาดคีมเรียก คีมสั้น(คีมเล็ก) คีมกลางและคีมยาว
เราเดินออกหาดูกันอีกระยะหนึ่ง เพื่อมองหาตัวคีมยาวแต่ไม่เจอเลย ส่วนใหญ่จะเจอแต่ตัวคีมกลางและคีมสั้น จากจุดนี้เรามองเห็นไม้ไผ่นวลอีกเกาะหนึ่งอยู่บนยอดสันเขามีไผ่ประมาณสิบกอได้ จึงตัดสินใจจะปีนขึ้นไปดู ท่าทางจะขึ้นไปยากมากต้องเดินลัดเลาะไปตามด่านเลียงผา ผมจึงบอกให้น้องโจปี้กลับไปพักผ่อนที่แคมป์พักก่อนเพราะเมื่อวานหนักมาทังวัน ผมกับน้องที่นำทางมาจะปีนขึ้นไปดูกันสองคน
น้องโจปี้รับปากและออกเดินลงหุบเพื่อกลับแคมป์ ก่อนกลับผมตะโกนไล่หลังน้องโจปี้ว่าระวังหลงเน้อ...น้องคนนำทางบอกว่าไม่หลงหรอกเพราะโจปี้เคยมาเดินป่าทางนี้อยู่บ่อยๆ เราจึงปีนขึ้นไปดูไม้ไผ่นวลที่อยู่บนยอดเขากัน ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นมาถึงเกาะไม้ไผ้นวลที่เรามองเห็น ในที่สุดเราก็เจอด้วงคีมกวางเหลืองคีมยาวกำลังดูดน้ำเลี้ยงหน่ออ่อนของหน่อไม้ไผ่นวลอยู่

เดินดูอยู่ซักพักพบว่าตรงจุดที่สูงๆนี่พบเจอแต่ด้วงฟอร์มคีมยาวๆทั้งนั้นเลย
มองสภาพโดยรวมทั่วไปตรงจุดนี้ ลักษณะเป็นเขาลาดเอียงชันมาก เป็นพื้นดินปนหินนุ่มๆ มีไผ่นวลขึ้นแบบแคระแก็นไม่สมบูรณ์เต็มที่เหมือนตรงกลางภูเขาที่เราผ่านมา อาจจะเป็นเพราะบนเขาลมแรงก็เป็นไปได้

ลองสังเกตุพื้นดิน พบว่ามีมอส ไลเคน และหญ้าเล็กๆขึ้นเต็มไปหมด ท่าทางบนยอดเขานี่ จะชื้นและเย็นอยู่ตลอดเวลา ลองขุดดินดูพบรากไผ่พันกันเต็มใต้ดินเลย น้องที่นำทางมาเคยบอกว่าครั้งนึงเคยเห็นด้วงชนิดนี้พึ่งเกิดมุดออกมาจากดินโคนต้นไผ่นวล นี่อาจจะเป็นความลับหนึ่งของธรรมชาติ ที่ว่าทำไมด้วงคีมสกุลนี้เมื่อเรานำไปเพาะเลี้ยงแล้วไม่เคยได้คีมฟอร์มยาวซักที ผมคิดว่าอุณหภูมิ ความชื้น ความสูงและกอไผ่น่าจะมีส่วนเป็นตัวกำหนดฟอร์มคีมหรือขนาดของด้วงชนิดนี้ 
ผมเดินสำรวจด้วงจนหนำใจ จนเกือบจะเที่ยงจึงชวนน้องที่นำทางกลับแคมป์กัน ขากลับเราเดินลัดเลาะสันเขากลับไปอีกทางนึง เดินมาได้ไม่นานก็ใกล้จะถึงแคมป์เราคุยกันระหว่างเดินมาว่าหลังกินข้าวเสร็จแล้ว เราจะย้ายแคมป์ไปอีกฟากของสันภูเขา ตรงนั้นมีห้วยใหญ่ไหลผ่านและมีปลาเยอะมาก ชักตื่นเต้นแล้วซิผมไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้วจะไปโดดน้ำให้สบายใจซักหน่อย เมื่อเรามาถึงแคมป์พัก งานก็เข้าเราอีกแล้ว....น้องโจปี้ที่เดินกลับมาก่อนหายไปไหนแล้ว เรานั่งรออยู่ที่แคมป์ตั้งนาน ทั้งตะโกนเรียกทั้งกู่เรียกก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ....
ไว้ต่อตอนหน้านะครับผม ^^ เมื่อยมือแล้ว

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2557

สามคืนสี่วันกับการเดินทางสำรวจด้วงในป่าชายแดนตะวันตกตอนที่ 2


มาตามคำเรียกร้องครับ กลัวเก็บความคิดไว้นานๆจะลืมอารมณ์ตอนที่ไปเหมือนกัน จากตอนที่แล้ว น้องคนนำทางร้องเรียกให้ผมไปดูที่ต้นหวาย ผมรีบวิ่งแบบลืมความเหน็ดเหนื่อย กว่าจะถึงเล่นเอาหอบแบบหายใจไม่ออกเลยที่เดียวครับ พอไปถึงน้องคนนำทางมองหน้าน้องโจปี้ลูกหาบแล้วยิ้มกันอย่างขำๆ คงเวทนาสภาพผมตอนนี้มาก เหงื่อโซมกาย เดินขึ้นเขาจะไม่ไหวแล้วแต่พอบอกว่าจะเจอด้วงแรงฮึดกลับมารีบวิ่งขึ้นเขามาดู แต่น่าเสียดาย บนต้นหวายนั้นไม่ได้มีตัวด้วงอะไรอยู่เลย แต่มีร่องรอยการเจาะดูดน้ำเลี้ยงของก้านช่ออ่อนของลูกหวาย น้องคนนำทางบอกว่าน่าจะเป็นร่องรอยของด้วงหรือแมลงทำไว้ ผมพอจะรู้มาบ้างจากการบอกเล่าของคนหาด้วงขายว่าเจ้าด้วงตัวที่หายากยิ่งที่สุดในป่าตะวันตกคือเจ้า
Allotopus moellenkampi babai หรือด้วงคีมทองกาญจน์
(ตัวในภาพนี้ตัวเมียนะครับ ผมเคยได้เมื่อปีก่อนๆ ตัวผู้คีมจะสวยกว่าตัวเมียมาก)

 เขาเล่าให้ฟังว่าด้วงชนิดนี้จะกินน้ำเลี้ยงจากต้นหวาย ผมนั่งพักให้หายเหนื่อยใต้ต้นหวายอยู่พักนึง ก็มีแรงกลับมาอีกครั้ง ตอนเดินขึ้นเขาคราวนี้เป้าหมายของผมเปลี่ยนไปจากที่จ้องไปที่ตามยอดหน่อไม้และต้นไม้ที่มีน้ำยางเพื่อค้นหาด้วงเปลี่ยนเป็นมองตามต้นหวายแทนเพื่อค้นหาด้วงคีมในตำนานตัวที่หายากยิ่งนั้น เดินค้นหาและขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้นทุกครั้งที่เจอต้นหวายจนลืมความเหนื่อยไปได้หมดสิ้น ในที่สุดก็ถึงยอดภูเขาเสียที เมื่อเดินมาถึงยอดภูเขาลูกนี้ก็เจอกับน้องที่นำทางมากับน้องโจปี้ลูกหาบนั่งรอผมอยู่ท่าทางจะนานแล้วด้วย บนยอดภูเขามีสายลมเย็นๆพัดมาแรงมาก คราวนี้เรานั่งพักกันนานหน่อยและคุยกันว่าท่าทางวันนี้เราจะไปไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้แน่ ถ้าผมมัวแต่ถ่ายภาพและสำรวจด้วงอยู่ เราเลยตกลงกันว่าจะให้น้องคนนำทางเดินล่วงหน้าไปตามแนวสันเขาก่อน ผมและน้องโจปี้จะเดินตามไปเรื่อยๆและนัดจุดหมายที่เราจะไปเจอกันตรงสุดแนวสันเขา เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ออกเดินทางกันต่อน้องคนนำทางเดินไวมากพอไม่ต้องรอผมแล้วแว๊บเดียวก็เดินเลยไปไกลจนมองไม่เห็นหลัง ตอนนี้ผมชักเริ่มหิวๆเลยรื้อเอาขนมในเป้หลังมาแบ่งกันกินกับน้องโจปี้ลูกหาบพร้อมกับเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ตอนนี้ต้องพักเรื่องสำรวจด้วงไว้ชั่วคราว บนสันเขาเดินง่าย เป็นป่าไผ่และทุ่งหญ้ามีไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาตา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นต้นไม้ยางบางต้นมีร่องรอยของพรานล่าสัตว์เจาะเอาน้ำมันยางไม้เก่าๆทางที่เราจะไปค่อนข้างราบมีเนินเตี้ยๆเป็นระยะ  ผมเดินตามน้องโจปี้แล้วสำรวจป่าไปเป็นระยะๆ ดูแล้วท่าทางป่าทางนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์มาก น้องโจปี้จะชี้ให้ดูรอยของสัตว์ป่าเป็นระยะ ที่เจอจะมีร่องรอยของหมูป่าและเก้ง มากที่สุด น้องโจปี้คุยให้ฟังว่าตรงที่เราจะไปกันเป็นป่าเขาเขตแดนเมื่อก่อนเคยมี กองกำลังของทหารป่า เป็นทหารกระเหรี่ยงคริสต์ที่ต่อสู้กับทหารพม่า(ผมคิดว่าน่าจะเป็นกองกำลังกระเหรี่ยงKNU) เคยมาพักอยู่ในเขตนี้บ้าง เอาแล้วซิผมชักเริ่มจะหวั่นๆนิดๆแล้ว น้องโจปี้บอกว่าพี่ไม่ต้องกลัวหรอกเขาย้ายกันไปนานแล้ว ถึงเจอเราเขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะพวกนี้เขาถือว่าคนไทยเป็นญาติพี่น้องกันอยู่แล้ว ทหารพวกนี้ก็มีญาติพี่น้องที่ละทิ้งอุดมการณ์เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย และเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอ ได้ยินแบบนี้ค่อยใจชื้นขึ้นนิดหน่อยแต่ก็อดหวั่นใจลึกๆไม่ได้เดินคิดเพลินๆมาเรื่อยก็ยังไม่มีท่าทีจะสุดแนวสันเขาซักที คำว่าเมื่อไรจะถึงที่หมายนี่ผมเลิกถามไปเลยเพราะน้องโจปี้บอกเดี๋ยวก็ถึงแล้วพี่มาสามสี่รอบแล้ว ไอ้เดี๋ยวก็ถึงเนี่ยะจริงๆมันโครตไกลเลย เดินต่อมาอีกซักพักจากแดดแรงๆเปลี่ยนเป็นครึ้มและลมก็พัดแรงขึ้นดูท่าทางวันนี้เราต้องเปียกฝนกันแน่ ผมมองดูเมฆดำตั้งเค้าลอยทมึนบนยอดเขาลูกที่อยู่ห่างออกไปและลมแรงก็พัดมาทางนี้ด้วย ในที่สุดเราก็โดนพายุฝนจนได้ ฝนตกลงมาแรงมากจนคุยกันไม่ได้ยินต้องตะโกนและลมก็พัดมาแรงอาจเป็นเพราะเราอยู่บนสันเขาก็เป็นไปได้ ผมจึงตัดสินใจให้หยุดการเดินทางไว้ก่อน รอให้ฝนหยุดตกแล้วค่อยไปต่อแค่ฝนตกลงมาอย่างเดียวนี่ไม่กลัวหรอกกลัวแต่ลมที่พัดมาแรงๆจะพัดเอาต้นไม้ใหญ่โค่นลงทับเราสภาพของผมกับน้องโจปี้ตอนนี้ยิ่งกว่าลูกหมาตกน้ำอีก

   เรานั่งพักหลบฝนกันอยู่นานมาก ฝนก็ไม่มีท่าทีจะหยุดแต่ก็ลมพัดเบาลงบ้าง จึงตัดสินใจเดินฝ่าสายฝนไปเพราะกลัวจะหลงกันกับน้องทีนำทางมา กลัวจะมืดก่อนถึงที่หมายด้วย เป็นการเดินป่าระหว่างฝนที่ทุลักทุเลที่สุดประกอบกับผมใส่รองเท้าแตะด้วย เดินไปได้สามก้าวก็หกล้มทีนึง ทางลื่นมากครับ ปกติก็แย่อยู่แล้วฝนยังตกมาอีก ตอนนี้รู้สึกหนาวมาก แต่ก็กัดฟันเดินไปได้เรื่อยๆ ตอนเดินข้ามเนินเตี้ยๆเนินหนึ่งผมพลาดหกล้มกลิ้งตกลงมาหน้าจิ้มโคลน น้องโจปี้ที่เงียบๆมาตลอดการเดินทางถึงขนาดกลั้นหัวเราะไม่อยู่ฮาก๊ากออกมาทีเดียว ผมทั้งเจ็บทั้งขำ ลุกขึ้นปัดโคลนออกยิ่งปัดยิ่งเปื้อนเพราะมือเปื้อนโคลนอยู่ จึงตัดสินใจเดินไปอย่างนี้ละ เราเดินทางไปต่อ เวลาผ่านไปเริ่มจะเย็นแล้วด้วยฝนก็หยุดตกแล้วแต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะถึงที่นัดคนนำทางเอาไว้เลย ผมชักหวั่นในใจลึกๆเดินไปเงียบๆพยายามไปให้ไวที่สุด จนได้ยินเสียงร้องเรียกมาจากข้างหน้าจึงรีบเดินไป พบน้องคนนำทางเดินย้อนกลับมาดูเราเพราะเห็นหายไปนาน เราจึงนั่งพักกันจนหายเหนื่อย น้องคนนำทางบอกว่าวันนี้เราคงไปถึงที่หมายที่ตั้งใจเอาไว้มืดแน่ๆเพราะอีกไกลประกอบกับผมเดินไวๆไม่ได้เพราะใส่รองเท้าแตะ ผมจะรื้อเอาบู๊ทยางมาใส่ก็ดูแล้วจะยิ่งแย่กว่าเพราะเจ้าบู๊ทยางเล่นส้นเท้าผมไว้ซะเป็นแผลไปแล้ว เลยตกลงกันว่าจะหาแหล่งน้ำใกล้ตรงนี้แล้วพักกันซักคืนพรุ่งนี้ค่อยไปต่อ ซึ่งทุกคนตกลงกันเช่นนั้นเพราะตั้งแต่เช้ามาพึ่งทานข้าวเช้ากันไปแค่มื้อเดียวลำพังขนมที่เตรียมมาก็ไม่ค่อยอยู่ท้องซักเท่าไร เมื่อได้ข้อสรุปน้องคนนำทางจึงพาเดินลัดเลาะลงจากสันเขาลงไปในหุบเขา บอกว่าที่ก้นหุบมีน้ำซับไหลซึมอยู่เราขุดบ่อหน่อยน้ำก็ออกอยู่ถ้าพี่กินได้ก็พักได้ ผมตอบตกลงพรางก้มดูน้ำที่ผมเตรียมมาเหลือติดก้นขวดนิดเดียว เดินมาได้ซักพักก็ถึงแหล่งน้ำซับ ผมเดินสำรวจรอบๆแหล่งน้ำ ลักษณะเป็นป่าชื้นๆตรงก้นหุบเขามีพืชตระกูลเฟิร์นและพืชจำพวกขิงข่าขึ้นอยู่รอบๆแหล่งน้ำ
จากนั้นผมนั่งพักปล่อยให้น้องที่นำทางกับน้องโจปี้ทำแคมป์พักซึ่งต่างคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้วทำกันได้ไม่นานก็เสร็จ  น้องคนนำทางนำไม้ไผ่มาปักดินและทำไม้ค้ำไว้ข้างล่างพอผูกเปลนอนได้ซักหนึ่งคืนและขึงฝ้ายางกันฝนไว้ข้างบน ระหว่างทำแคมป์เสียงน้องโจปี้โวยวายขึ้นโหวกเหวกพร้อมเปิดเสื้อให้ผมดู เอามันออกไปให้ผมทีพี่ ผมขยะขแยงมัน  ผมโดนหัวเราะมาทั้งวัน มาตอนนี้เจ้าโจปี้เอ๋ยตกม้าตายดันกลัวตัวทากดูดเลือด ผมยิ้มขำๆคว้ากล้องมาถ่ายภาพเก็บไว้แล้วดึงตัวทากออกให้และเอากระดาษมวนยาเส้นของน้องโจปี้แปะไว้ที่แผลกันเลือดไหล
จากนั้นเราถึงได้รู้ว่าเรามาตั้งแคมป์กันกลางดงทากเข้าให้แล้ว ต่างคนต่างสำรวจตัวเองโดนกันไปคนละสองสามตัว ตั้งแต่เมือไรก็ไม่รู้ผมลองสำรวจตัวเองรู้สึกคันๆที่ขา พอถอดกางเกงขายาวออกพบว่าโดนเยอะกว่าใครเลย อาจเพราะใส่รองเท้าแตะด้วย คิดในใจว่าเลือกที่พักกันได้ถูกที่จริงๆจะย้ายก็ไม่ทันแล้วเริ่มมืดแล้วด้วย เอ้าดีเหมือนกันได้บริจาคเลือดให้สัตว์น้อยร่วมโลกผู้หิวโหยด้วย
หลังจากทำที่พักเสร็จเราตกลงมื้อเย็นนี้จะกินกันง่ายๆไปก่อน จึงใช้ให้น้องโจปี้ไปตักน้ำมาต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินกัน เจ้าโจปี้กลัวทากจึงเดินไปตักน้ำแบบไม่เต็มใจนัก ซักพักก็ได้ยินเสียงโจปี้ร้องลั่นอีกครั้งผมกับน้องที่นำทางเดินออกไปดูพบเจ้าโจปี้โดนตัวประหลาดเกาะที่บู๊ทยางอยู่ ผมใช้ไม้เขี่ยออกให้น้องโจปี้ และนำมันมาสังเกตุดูตัวมัน มีลักษณะเหมือนทากดูดเลือดมากแต่ขนาดและสีไม่ใช่ลองใช้ไม้เขี่ยให้หงายท้องพบปากดูดของเจ้าตัวประหลาดนี่เกือบเท่าหลอดกาแฟ ถ้าถูกดูดทีเลือดคงแทบหมดตัว
ภายหลังผมนำรูปมาสอบถามผู้เชี่ยวชาญในกลุ่ม siamensis.org พบว่าตัวนี้น่าจะเป็นกลุ่มปลิงกินไส้เดือน genus Mimobdella แต่ตอนที่ผมนำมันมาสังเกตุ เจ้าตัวนี้มันน่าจะกินเลือดด้วยครับ พอปล่อยให้มันเคลื่อนไหวมันพยายามกระดื๊บเข้ามาเกาะบู๊ทยาง แต่ไม่กล้าให้มันลองกัดดู แค่เห็นก็สยองแล้วจึงใช้ไม้เขี่ยแล้วเอามันไปทิ้งไกลๆจากที่พักภาวนาอย่าให้มันกลับมาเลย

หลังจาก ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเรียบร้อยแล้วแล้วเรานั่งกินกันอย่างเร่งรีบเพราะกลัวทากจะแอบมากัดอีกกินเสร็จแล้วนั่งคุยกัน ว่าพรุ่งนี้เราจะย้ายแคมป์กันแต่เช้า แต่ผมแย้งว่าเราควรออกสำรวจด้วงก่อนแล้วค่อยย้ายเพราะด้วงเราจะพบเจอตอนเช้ามากกว่าๆตอนสายๆแดดร้อนซึ่งทุกคนก็ตกลง ก่อนนอนวันนี้ไม่มีใครยอมลงไปอาบน้ำเลยเพราะกลัวเจ้าตัวปลิงประหลาดนั่นผมพอเช็ดตัวให้แห้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็นอนเลย เราตกลงกันจะให้ผมนอนตรงกลางและสุมไฟไว้ในแคมป์พักหนึ่งกอง พอผมเอนตัวลงเปลได้ไม่นานผมก็นอนหลับไปเลยโดยมีเสียงร้องของแมลงและกบเขียดกล่อมก่อนนอน ก่อนหลับ มีเสียง
บ่นงึมงัมๆมาจากเปลของเจ้าโจปี้ว่าปวดฉี่จะลงไปก็กลัวทากกัด 

ไว้ต่อตอนหน้านะครับ ^^

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

สามคืนสี่วันกับการเดินทางสำรวจด้วงในป่าชายแดนตะวันตกตอนที่1

     เมื่อเข้าสู่เดือนสิงหาคม-ตุลาคมของทุกปีจะเป็นเดือนที่เราจะพบเจอด้วงในธรรมชาติมากที่สุด ในป่าตะวันตกจะว่าเป็นฤดูของด้วงก็ได้ ซึ่งในช่วงเดือนนี้ของทุกๆปีด้วยภารกิจหน้าที่การงานผมมักจะพลาดโอกาศเดินทางไปสำรวจด้วงธรรมชาติในป่าทุกปี ในปีนี้ช่วงเดือนนี้ผมมีเวลาว่างอยู่กับบ้านจึงได้มีโอกาศเติมเต็มความอยากที่รอคอยมานานแสนนาน มีเรื่องเล่าประสบการณ์กับการเดินทางครั้งนี้และรูปภาพมาฝากกันนิดหน่อยครับ
    เริ่มด้วยเช้าวันหนึ่งกลางๆเดือนกันยายนผมได้รับโทรศัพท์จากน้องคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นคนนำทางเดินทางสำรวจด้วงร่วมกันในครั้งก่อนๆ ชวนไปสำรวจด้วงในป่าแห่งใหม่ใกล้ๆชายแดน ผมตอบตกลงโดยไม่ต้องคิดให้มากเรื่องเลย เสร็จแล้วผมก็เตรียมเป้สนามและเสบียงพร้อมออกเดินทางไปบ้านน้องคนนำทางเลย เดินทางจากบ้านผมไปหาน้องคนนำทางประมาณ200กิโเมตรได้ครับ ระหว่างขับรถไปก็คิดไป ว่าการเดินทางครั้งนี้หวังว่าจะได้พบด้วงในธรรมชาติตัวที่นิยมเลี้ยงกันซัก 5 ชนิดเป็นอย่างต่ำ ขับไปคิดไปไม่นานก็ถึง เราตกลงกันว่าจะออกเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า วันนี้ให้พักผ่อนนอนให้เต็มที่เพราะป่าที่จะไปไกลมาก เราเปลี่ยนความตั้งใจกันนิดหน่อยจากที่ว่าจะไปสำรวจแบบหนึ่งคืนสองวัน เป็นแบบเดินทางแบบค่ำไหนนอนนั่นจนกว่าเสบียงจะหมดหรือจนกว่าผมจะพอใจ  ผมจึงใช้ให้น้องคนนำทางไปจัดเตรียมเสบียงเพิ่มและตัวผมเองขอนอนพักผ่อนเก็บแรงไว้เดินป่า ตื่นเต้นสุดๆนอนไม่ค่อยหลับเลยอยากให้เช้าไวๆ พอตื่นเช้าขึ้นมาอีกวันหนึ่งน้องคนนำทางก็เตรียมเสบียงอาหารไว้พร้อมแล้ว แต่เกินกว่าที่ผมตั้งใจไว้นิดหน่อย น้องคนนำทางบอกว่าเหลือดีกว่าขาด ผมก็เห็นดีด้วยแต่ของที่จะนำไปนี่ซิหนักกว่าคนละ20กิโกรัม ประกอบด้วย น้ำดื่ม ข้าวสาร อาหารแห้งเสื้อผ้า ถุงนอนเปลผ้าใบและเต็นท์นอน น้องคนนำทางบอกว่าต้องเดินข้ามภูเขาหลายลูกเหมือนกัน ผมชักหวั่นว่าจะไหวไหมนี่ ผมว่างเว้นจากการเดินป่าหนักๆมานานแล้วด้วย จึงตัดของที่จำเป็นน้อยที่สุดออกแล้วน้ำหนักก็ยังมากอยู่ดี ในที่สุดก็จบลงด้วยการไปจ้างลูกหาบแบกของที่พื้นเพเป็นคนกระเหรี่ยงในพื้นที่เดินทางไปด้วยอีกหนึ่งคน ซึ่งคนนำทางไปหามาให้ ชื่อ น้องโจปี้(ชื่ออาจจะแปลกๆหูซักหน่อย มารู้ตอนหลังว่าชื่อภาษากระเหรี่ยงแปลว่าลูกชายคนเล็ก)คนนำทางบอกว่าป่าที่เราจะไปอยู่ติดชายแดนมีคนในประเทศเพื่อนบ้านเดินเข้าออกบ่อยๆเหมือนกัน การที่มีคนพูดถาษาถิ่นไปด้วยจะได้สื่อสารกันรู้เรื่องครับ น้องโจปี้พูดกระเหรี่ยงได้และพม่าได้นิดหน่อยครับ จากนั้นเราบรรจุของเตรียมเดินทาง ของที่จะนำไปน้ำหนักรวมๆประมาณคนละ10กว่ากิโลผมเบาที่สุดท่าทางพอไหว แต่เจ้ากระเป๋าเป้สนามของผมดันเล็กไปอีก จึงตัดใจตัดของใช้บางรายการออกเช่น เต็นท์ เราจะไปผูกเปลแล้วขึงผ้ายางกันฝนนอนแทนและตัดใจตัดของส่วนที่มีน้ำหนักมากที่สุดออกคือน้ำดื่ม น้องที่นำทางบอกว่าที่จะไปมีน้ำมากมาย ถ้าพี่ดื่มได้ก็ไม่ต้องเอาไปให้หนักหรอก เลยตกลงตามนั้นครับ เตรียมของเสร็จกระเป๋าเป้สนามคู่ใจก็ยังเล็กไปอยู่ดี สุดท้ายมาจบที่ เป้เดินทางชาวป่าราคาไม่ถึง10บาทครับใส่ของได้จุใจ ใช้ถุงปุ๋ยใส่ของและใช้ผ้าขาวม้าทำหูสะพายน้องคนนำทางทำให้ ใส่ของเสร็จลองชั่งดูเกือบๆ10 กิโล อืมน้ำหนักกำลังพอดี

   ผมจึงต้องตัดใจทิ้งเป้สนามคู่ใจที่เคยใช้เดินป่ามาหลายหนไว้ที่บ้านน้องคนนำทาง
เมื่อทุกอย่างลงตัวเราจึงออกเดินทาง ประมาณเก้าโมงเช้า ช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ทีแรกนิดนึง เดินทางออกจากท้ายหมู่บ้านลัดเลาะทุ่งนา เข้าสู่ป่าใหญ่ชายแดนตะวันตก สังเกตุสีกางเกงของน้องโจปี้ สีเจ็บมาก
เราอาศัยลัดเลาะไปตามลำห้วย สวนน้ำขึ้นไปเรื่อยๆ ลักษณะป่าตอนเข้ามาเป็นป่าไผ่โปร่งๆ มีต้นไม้ใหญ่ให้เห็นบางตามาก
                         ตลอดลำห้วยพบร่องรอยการทำสัปทานป่าไม้ในอดีตให้เห็นไปตลอด

เมื่อเดินสวนลำห้วยไปเรื่อยๆเราพบน้ำตกเล็ก อยู่สองที่สวยงามดีแต่ไม่ค่อยได้มีเวลาชื่นชม เพราะน้องคนนำทางจะคอยย้ำเสมอว่า เรายังไปอีกไกลนะพี่
                                                          อันนี้น้ำตกสูงกว่าเดิมหน่อย

                                      
ตลอดลำห้วยสายนี้มีพรรณไม้และสัตว์เลื้อยคลานแปลกตามีให้เห็นตลอดสาย

ว่านค้างคาวดำหรือเนระพูสีไทย (อังกฤษBat flowerชื่อวิทยาศาสตร์Tacca chantrieri

 จิ้งเหลนน้ำTropidophorus robinsoni

เมื่อเราเดินสวนน้ำไปเรื่อยเจอลำห้วยเล็กที่ไหลลงมาจากหุบเขามารวมกับห้วยสายนี้หลายสายเหมือนกัน ห้วยสายหลักที่เราเดินสวนน้ำมาเริ่มแคบลงไปเรื่อยๆจนในที่สุดเราก็พบลำห้วยแยกเป็นสองสายตั้งแต่ตอนที่เดินเข้าป่ามาผมลองสังเกตุหาด้วงตามหน่ออ่อนของต้นไผ่และต้นไม้ที่มีน้ำยางแต่ไม่พบด้วงเลย จากจุดนี้น้องคนนำทางบอกว่าเราต้องเดินขึ้นภูเขาและเดินลัดเลาะไปตามแนวสันเขาจะไม่มีน้ำดื่ม  เราพักเหนื่อยซักพักนึงจึงตักน้ำในลำห้วยใส่ขวดพาสติกคนละขวดเก็บน้ำไว้ดื่มระหว่างทาง เอาละซิมีน้ำหนักเพิ่มมาในเป้สัมภาระอีกเกือบ2กิโกรัม อากาศตอนนี้ก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ภูเขาลูกแรกแหงนหน้ามองยอดแล้วสูงมาก เราต้องขึ้นไปจนถึงยอดแล้วถึงจะลัดเละแนวสันเขาไปได้ครับ เป็นภูเขาดินมีป่าไผ่ขึ้นอยู่หนาแน่นหลายชนิด 

ผมเดินสังเกตุดูด้วงไปเรื่อยๆในช่วงแรกแต่ไม่เจอเลยช่วงหลังๆภูเขาลูกนี้ลื่นและชันมาก ผมจึงก้มหน้าก้มตาเดินขึ้นอย่างเดียว เราใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ขึ้นสู่ยอดเขาได้สำเร็จ  เล่นเอาน้องโจปี้ลูกหาบถึงกับพูดไม่ออก ส่วนผมนะเหรอ ทั้งลื่นล้มทั้งร้อนและเหนื่อยกว่าจะถึงยอดเขาแทบจะคลานไปเลยทีเดียว
เมื่อขึ้นถึงยอดเขาแล้วพอมีต้นไม้ใหญ่ๆให้เห็นบ้างและลมก็็พัดแรงมาก จากที่เหงื่อโซมกายเหน็ดเหนื่อยตอนขึ้นมาเจอลมที่พัดแรงๆรู้สึกเย็นสบายหายเหนื่อยจนรู้สึกหนาวเลยทีเดียว

เมื่อนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้ว เราจึงออกเดินทางต่อไปบนแนวสันเขา ตอนนี้เป็นพื้นราบเดินง่ายหน่อยเป็นป่าไผ่สลับทุ่งหญ้ามีต้นไม้ใหญ่ขึ้นประปราย ผมเดินมองหาด้วงตามต้นไม้ไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เจอ
ต้นไม้ทีเห็นทางซ้ายมือในรูปมีน้ำยางออกมา น้องคนนำทางบอกเคยเห็นด้วงคีมตัวสีดำๆกินน้ำยางผมสังเกตุอยู่นานมากแต่ไม่เจออะไร
เราเดินลัดเลาะแนวสันเขาไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก็สุดแนวสันเขาลูกนี้ ต้องเดินลัดลงหุบเขาแล้วขึ้นภูเขาลูกใหม่ แหงนหน้ามองยอดภูเขาลูกนี้แล้วลบแทบจับสูงกว่าลูกที่ผ่านมาอีก ตอนนี้ผมเดินรั้งท้ายสุดโดนทิ้งห่างประมาณ20-40เมตร ภูเขาลูกนี้เป็นป่าไผ่ตอนขึ้นมาทีแรก เมื่อสูงขึ้นมาอีกหน่อยจะเป็นทุ่งหญ้าดอกไม้กวาดสลับกับต้นไม้ใหญ่ๆเมื่อเดินขึ้นไปได้ซักพักมองไปข้างหน้าไม่เห็นใคร ผมรีบเดินต่อไปให้เร็วขึ้นจนแทบหายใจไม่ทัน เพราะกลัวจะหลงกันแต่ทุกครั้งก็เจอน้องที่นำทางมานั่งรอพูดคุยอยู่กับน้องโจปี้ลูกหาบอย่างสนุกสนานทุกครั้ง จึงตัดสินใจเดินสำรวจด้วงไปเรื่อยๆเพื่อให้ลืมความเหนื่อยจนในที่สุดก็ถึงยอดภูเขาลูกนี้ บรรยากาศโดยรวมเหมือนภูเขาลูกที่ผ่านมา เรานั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วจึงเดินทางกันต่อไปตามแนวสันเขา ลักษณะเป็นป่าไผ่พื้นราบ เดินได้ไม่เหนื่อยมาก ตอนนี้ผมเดินรั้งท้ายไปแบบสบายๆสำรวจตามยอดหน่อไม้ไผ่ไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่พบด้วงซักตัว 

 ในทีสุดผมก็โดนทิ้งห่างออกไปแบบไม่เห็นหลังคนนำทางและลูกหาบ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ยังไงก็ต้องเดินไปตามแนวสันภูเขาไปอยู่แล้วไม่น่าจะหลง และแล้วก็ได้ยินเสียงร้องเรียกดังมาจากข้างหน้า
พี่พี่มาดูนี่เร็ว!เจอด้วงแล้ว ผมจึงรีบวิ่งด้วยความดีใจไปข้างหน้าตามเสียงร้องเรียกนั้นให้เร็วที่สุดสะดุดเถาวัลย์ล้มไปทีนึงเหมือนกัน ในที่สุดก็พบด้วงชนิดแรกเข้าจนได้
        เจ้า Eupatorus birmanicus   ด้วงกว่างซางพม่าหรือกว่างซางหูกระต่าย
ลักษณะที่เจอด้วงชนิดนี้จะเจอในหน่ออ่อนของต้นไผ้ชนิดหนึ่ง  ด้วงจะเจาะและฝังตัวเข้าไปในหน่อไม้นั่นและดูดกินน้ำยางของหน่อไม้นั้น ปกติเจ้าด้วงกว่างซางหูกระต่ายจะพบเจอได้ประมาณต้นเดือนสิงหาคม-เดือนกันยายน ซึ่งด้วงชนิดนี้ในธรรมชาติแล้วตัวเต็มวัยจะมีชีวิตที่สั้นมาก เมื่อเปรียบเทียบกับด้วงชนิดอื่นๆ ตัวผู้พอเกิดมาเป็นตัวเต็มวัยพักตัวอยู่ใต้ดินพออากาศและระยะเวลาเหมาะสมด้วงจะมุดขึี้นจากดินขึ้นมากินอาหาร ต่อสู้แย่งกันผสมพันธ์และก็ตาย ส่วนตัวเมียพอถูกผสมพันธุ์เสร็จก็จะกินอาหาร วางไข่และก็เสร็จถือว่าทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ได้สมบูรณ์แล้วก็ตาย เราจึงพบตัวเต็มวัยของด้วงชนิดนี้ในธรรมชาติในระยะเวลาที่สั้นมาก แม้ผมจะเคยผ่านพบด้วงตัวเต็มวัยชนิดนี้ในธรรมชาติมาบ้างแล้ว ในการเดินป่าก่อนหน้านี้ แต่ก็อดตื้นเต้นไม่ได้ทุกครั้งที่พบเจอ  เรามาเจอด้วงชนิดนี้ตอนปลายๆฤดูของด้วงแล้วสังเกตุจะเจอแต่ตัวผู้และบางตัวมี่ร่องรอยของการต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันผสมพันธุ์ สังเกตุด้วงตัวผู้ทีพบเจออีกหลายตัวในป่าแห่งนี้ ปีกบุบ เขาหักและขาขาด หลังจากถ่ายภาพและพักจนหายเหนื่อยแล้วเราจึงออกเดินทางกันต่อครับ ตลอดแนวสันภูเขาลูกนี้พบเจอด้วงกว่างซางหูกระต่ายไปตลอดเส้นทาง ส่วนใหญ่แล้วจะเจอแต่ตัวผู้เขาสั้นบ้างยาวบ้างสลับกันไป
ตัวนี้ท่าทางจะผ่านสมรภูมิต่อสู้มาเยอะครับเขาหน้าหักครับ
บางตัวที่พบเจอกินน้ำยางของต้นไม้ด้วย

เมื่อเดินดูด้วงจนสุดแนวสันเขาแล้วน้องคนนำทางชี้จุดหมายที่เราตั้งใจจะไปให้ดู เจ้า

ภูเขาสีดำๆที่มองเห็นสุดสายตานั่นละครับ


และพาเดินลัดเลาะลงหุบเขาอีกครั้งเพื่อที่จะขึ้นภูเขาลูกใหม่ และบอกว่าภูเขาลูกนี้สูง

ที่สุดแล้ว ถ้าขึ้นไปถึงยอดเขาก็เป็นทางเดินไปแบบสบายๆแล้ว หลังจากเดินขึ้นภูเขา

ลูกนี้มาได้ระยะหนึ่ง ยอมรับว่าเหนื่อยมากครับอากาศร้อนสุดๆ เดินขึ้นไปแหงนหน้ามอง

ยอดเขาที่ไรเหมือนมันจะไกลแบบไม่มีที่สิ้นสุด จนในที่สุดก็เลิกมองยอดภูเขาเปลี่ยน

มาเป็นมองหาด้วงแทน แต่ภูเขาลูกนี้มีต้นไผ่เป็นคนละชนิดกับภูเขาลูกที่แล้ว

 จึงไม่เจอด้วงเลย เดินมาได้ซักพักตอนนี้ยอดภูเขาไม่ได้เป็นอุปสรรคแล้วแต่

รองเท้าบู๊ทยางที่ผมใส่มาดูท่าทางจะมีปัญหากับเท้าผมจึงถอดรองเท้าบู๊ทออก

และเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะแทน ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงร้องเรียกมาจากข้างหน้า

อีกครั้ง จึงรีบวิ่งตามไปดู พบน้องคนนำทาง กำลังมองดูอะไรในต้นหวายอยู่.......

ไว้ต่อตอนหน้านะครับ ^^

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

โครงการเพาะด้วงปีนี้ ๙/๙/๒๕๕๗

     หลังจากที่ห่างหายไปนานก็กลับเข้าสู่ฤดูด้วงอีกครั้ง  ปีนี้ผมพอมีเวลาบ้างคงได้เพาะด้วงได้อีกหลายชนิดเลย วันนี้ถือฤกษ์งามยามดีวันที่เก้าเดือนเก้า กลับมาเพาะด้วงเขียนบทความกันอีกครั้ง เริ่มด้วยเจ้าด้วงตัวนี้  Gnaphaloryx opacus
  จัดว่าเป็นด้วงหายากเลยทีเดียวครับ ตอนเจอทีแรกมีแอบลุ้นในใจว่าให้เป็นตัว new record มารู้อีกทีว่ามีรายงานการค้นพบที่จังหวัดตากด้วย(ต้องขอขอบคุณพี่น้องกลุ่มThailand ฺBeetles Breeder Club. (TBBC.)ที่ช่วยหาชื่อด้วงให้และน้องฮ่องเต้(Qinze Hongtei)ที่ช่วยดูเอกสารเกี่ยวกับด้วงชนิดนี้ให้และผมขอยืมรูปมาประกอบบทความนี้ด้วยต้องขอขอบคุณมาณ.ที่นี้ด้วยครับ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า ผมเจอด้วงชนิดนี้ในต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ล้มตายอยู่บนพื้นดินปลายยอดต้นไม้ผุแบบปานกลางยังมีเปลือกไม้ติดอยู่ ผมลองแงะเปลือกไม้ออกดูก็พบด้วงชนิดนี้ครับ ลักษณะที่ด้วงอยู่คงมากินน้ำยางของต้นไม้ชนิดนี้หรืออาจจะมาผสมพันธุ์กันและวางไข่ ลองแกะไม้ผุดูก็พบหนอนด้วงคีมไม่ทราบชนิดอยู่หลายตัวเหมือนกัน ลักษณะหนอนด้วงคีมจะตัวสั้นๆและบอบบางมากส่วนใหญ่จะอยู่ในเกือบแกนกลางของต้นไม้(ผมแอบลุ้นในใจอีกแล้วว่าให้เป็นชนิดเดียวกันด้วยเถอะ)
ผมลองเอาหนอนด้วงที่เจอมานี้มาลองเลี้ยงดู พบว่ามันบอบบางมากตายไปเกือบครึ่งจึงตัดสินใจไม่ไปรื้อค้นต่อปล่อยให้หนอนอยู่ต้นไม้ผุนั้นเลย  จึงจับตัวเต็มวัยมาสามตัวเพื่อเพาะเลี้ยงครับ ได้ตัวผู้มาหนึ่งตัวเมียมาสองตัวครับ
มาเริ่มเพาะกันเลยดีกว่า วิธีนี้ผมลองเพาะด้วงคีมตัวเล็กๆที่วางไข่ในไม้ผุได้เกือบทุกชนิด เริ่มด้วย      1.เตรียมที่เพาะ ผมไปซื้อกล่องพาสติกสี่เหลี่ยมใบขนาดกว้าง20ยาว25สูง15ซม.ประมาณกล่องละ40-60 บาท ใช้เพาะด้วงคีมตัวเล็กๆได้ดีเลยละครับเพียงแต่ต้องเจาะรูที่ฝากล่องให้ด้วงได้มีอากาศหายใจครับ
2.ท่อนไม้ผุ อันนี้สำคัญมากเพราะด้วงจะวางไข่ไม่วางไข่ก็ขึ้นอยู่กับท่อนไม้นี่ละครับ ผมเลือกใช้ไม้ที่เจอด้วงมากับไม้ขนุนครับ เอาแบบผุปานกลางกับผุนุ่มเลยปนกัน เริ่มด้วยแช่ขอนไม้ผุให้จมน้ำมิดเลยประมาณหนึ่งคืนแล้วเอาออกมาผึ่งให้พอชื้นๆ เอาไขควงปากแบนแกะๆไม้ให้เป็นรอยนิดๆรอบๆท่อนไม้ให้ด้วงวางไข่ก็พอครับ

3.ไม้ปูพื้นหรือไม้ผุบด ของผมใช้ไม้ที่ผุอยู่ในธรรมชาติที่มีหนอนด้วงคีมกินมาทำให้ละเอียด สามารถใช้เลี้ยงตัวอ่อนด้วงคีมได้เลย
อันนี้ผมลองใช้เลี้ยงหนอนดู เห็นหนอนกินกันเพลินเลยครับ เคยเลี้ยงหนอนด้วยไม้ผุบดชุดนี้ด้วงออกมาเป็นตัวเต็มวัยขนาดใช้ได้เลยครับ

เมื่อเตรียมอุกรณ์การเพาะพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลยครับ นำไม้ผุบดปูพื้นมาปรับความชื้นก่อน เทน้ำสะอาดลงในไม้ผุบดคลุกเคล้าให้ทั่ว กะประมาณให้ชื้นแต่ไม่แฉะครับ 
ลองทดสอบกำไม้ผุบดให้แน่นๆพอมีน้ำซึมออกมาจากร่องนิ้วมือ
พอแบมือแล้วไม้ผุบดยังจับตัวเป็นก้อน แสดงว่าใช้ได้แล้วละครับ

เมื่อความชื้นใช้ได้แล้วก็นำไปปูพื้นในกล่องเพาะได้เลย ชั้นแรกปูประมาณ 1ส่วน4ของกล่องชั้นล่างเน้นกดอัดไม้บดปูพื้นให้แน่นๆครับ
หลังจากนั้นวางขอนไม้ที่เตรียมไว้แล้วลงไป(ผมโลภมากเน้นๆหลายๆท่อนเลย มีท่อนผุปานกลางกับท่อนผุนิ่มมาก
ปูพื้นลงไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องแน่นมากให้พอท่วมท่อนไม้

จากนั้นวางเศษไม้ผุลงไปกันด้วงหงายท้องเวลาลงเพาะ ขั้นตอนนี้ตกแต่งความสวยงามตามใจชอบครับหรือจะปูทับด้วยสแฟกนั่มมอสชื้นๆด้วยก็ได้ครับ

จากนั้นนำด้วงลงไป ผมสังเกตุดูด้วงชนิดนี้ไม่ค่อยก้าวร้าว เลยปล่อยลงไปคู่ทัั้งตัวผู้และตัวเมียเลยกะว่าจะลงไปซักสัปดาห์นึงให้แน่ใจว่าผสมแล้วค่อยแยกตัวผู้ออกครับ(ถ้าเป็นด้วงบางชนิด ที่ตัวผู้มีท่าทีก้าวร้าวทำร้ายตัวเมียหรือตัวเมียกัดตัวผู้ให้แยกออกมาลงกล่องผสมพันธ์ก่อนแล้วค่อยปล่อยตัวเมียที่ผสมแล้วลงกล่องเพาะครับ)

ทำกล่องเพาะไว้สองกล่องเลย อีกกล่องนึงใส่ตัวเมียเดี่ยวไว้รอตัวผู้แยกมาลงทีหลังอีกทีนึง ใส่อาหารด้วงลงไปแล้วปิดฝากล่องนำไปเก็บไว้ในที่เงียบๆและเย็นๆครับ

จากนั้นก็ให้อาหารด้วงประมาณสองวันครั้ง อาหารก็จะเป็นผลไม้รสหวานและเยลลี่ หมั่นสังเกตุดุว่าผิวหน้ารองพื้นแห้งหรือเปล่าถ้าแห้งฉีดน้ำลงไปให้พอชื้นๆ ครับ วิธีนี้ใช้เพาะเลี้ยงด้วงคีมตัวเล็กๆที่วางไข่ในไม้ผุเช่น ด้วงคีมร่องเก่า ด้วงคีมสองแถบ ด้วงคีมแดง ด้วงคีมบูด้าและด้วงคีมเนื้อทรายเขี้ยวจันทร์ได้ผลแน่นอนครับ
สำหรับด้วงคีมที่เพาะตัวนี้อีกหนึ่งเดือนกว่าๆจะมารายงานความคืบหน้าครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานสวัสดีครับ^^